10 อันดับ เรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ The Dark Knight Rises
ช่วงนี้ The Dark Knight Rises กำลังเป็นที่พูดถึงกันเป็นอย่างมาก ทีมงาน toptenthailand ขอจัด 10 อันดับเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Batman The Dark Knight Rises ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่ปลุกปั้นมาร่วมสิบปี ให้จบอย่างยิ่งใหญ่ ในภาคนี้มาให้ได้อ่านกัน คนที่ดูภาพยนตร์มาแล้วก็อ่านได้นะ จะมีเรื่องใดบ้าง ลองเข้ามาชมกันครับ
10. ทันทีที่ The Dark Knight Rises ฉาย ก็ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานใหม่ของภาพยนตร์ซูปเปอร์ฮีโร่ไตรภาค!!!
มาเริ่มต้นกันด้วยอันดับที่ 10 กับ toptenthailand กันครับ : เมื่อ คริสโตเฟอร์ โนแลน ได้เปิดฉาก Batman ไตรภาคใหม่ในปี 2005 ด้วย Batman Begins ภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่สวมผ้าคลุมออกปราบปรามเหล่าร้ายในยามวิกาลนี้ ไม่เพียงจะสร้างมาตรฐานใหม่่ให้กับภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนแนวซูเปอร์ฮีโร่ จนได้รับคำวิจารณ์ด้านดีมากมายเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภาพยนต์ที่ทรงอิทธิพลให้หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นหรือภาพยนตร์ที่มีภาคต่อเรื่องอื่นๆ ได้เจริญรอยตามในแง่การวางทิศทางให้ออกมาดูสมจริง จับต้องได้ เนื้อหาอิงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง
และยังถือได้เป็นต้นตำรับของคำว่า "รีบูท" (reboot) ที่ เป็นการสร้างใหม่ ด้วยการปรับเปลี่ยนเส้นเรื่อง และโทนเรื่องแบบที่ ไม่่ให้ซ้ำกับฉบับก่อนๆ ราวกับยกเครื่องให้ใหม่หมด แต่ยังคงใจความสำคัญของเนื้อเรื่องไว้ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปี Batman ไตรภาคของโนแลนก็จะถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ไตรภาคที่มีหลายๆคนจดจำไว้ในใจอย่างแน่นอน
9. The Dark Knight Rises เริ่มต้นคิดเรื่องจากตอนจบ!!!
อันดับที่ 9 ได้แก่ เนื้อเรื่องของ The Dark Knight Rises ถูกเริ่มคิดมาจากตอนจบก่อนนี่เอง : ใน ปี 2008 หลังจากภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight ได้เปิดตัวต่อสายตาคนทั่วโลก มันกลายเป็นอะไรที่สุดยอดเกินกว่าทุกความคาดหวัง มันไม่ได้แค่กลายเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีนั้นเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เลยทีเดียว
และก็เป็นในปีนั้นเองที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน และผู้เขียนบทร่วม เดวิด เอส โกเยอร์ ซึ่งเคยเขียนบทร่วมกันครั้งแรกใน Batman Begins ได้นั่งลงพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการสร้าง Batman ภาค 3 ซึ่งโนแลนได้คิดเอาไว้แล้วว่าจะให้เป็นภาค 3 เป็นภาคสุดท้าย แม้ในตอนนั้นพวกเขาทั้งสองคน จะยังคิดกันไม่ออกว่าจะทำให้ออกมาดีกว่าภาคล่าสุดของพวกเขานี้ได้ยังไง แต่ในวันที่พวกเขานั่งพูดคุยกันนั้นได้มีไอเดียบางอย่างเกิดขึ้น ไอเดียที่ว่านั้นไม่ใช่ไอเดียว่าภาค 3 ควรจะเริ่มเรื่องยังไง ไม่ใช่พล็อต ไม่ใช่ว่าควรใช้ผู้ร้ายตัวไหนหรือมีผู้ร้ายกี่ตัวดี แต่เป็นไอเดียเกี่ยวกับฉากจบของภาพยนตร์ภาค 3 เป็นไอเดียเกี่ยวกับภาพสุดท้ายของไตรภาคอันยิ่งใหญ่นี้
หลังจากโกเยอร์บอกโนแลนว่าภาพตอนจบของภาพยนตร์ที่เขาอยากเห็นเป็นยังไงแล้ว โนแลนก็ยิ้ม "ฉากสุดท้ายของหนัง The Dark Knight Rises เป็นภาพเดียวกับในหัวพวกเราตอนนั้นเป๊ะ" โกเยอร์บอกกับนิตยสาร Empire ณ ตอนนี้ หลังจากผ่านมาแล้ว 4 ปี "เราไม่ได้เปลี่ยนมันแม้แต่นิด เราสองคนรู้เต็มอกว่าหลังจากนั่งดูเรื่องราวตั้งแต่ต้น เรื่อยมาจนมันเริ่มขมวดเกลียวแน่น แล้วก็ได้เห็นฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายในตอนจบจะเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ตอนที่ผมได้ดูนะ ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างขึ้นมาจุกที่คอหอยเลย"
8. The Dark Knight Rises ยาวกว่าทุกภาค!!! และมีฉาก IMAX มากกว่าทุกภาค!!!
อันดับที่ 8 ได้แก่เรื่องของความยาวภาค 3 นี้ : โนแลนเป็นเป็นแฟนพันธ์แท้ไอแมกซ์ตั้งแต่ Batman Begins , The Dark Knight และ Inception และมาถึง The Dark Knight Rises โนแลนเป็นผู้กำกับยุคใหม่คนเดียวที่ยืนยันที่จะไม่ถ่ายทำในรูปแบบสามมิติ แต่ยืนยันที่จะใช้กล้องไอแมกซ์ถ่ายเท่านั้น เพื่อให้การปิดฉากไตรภาคให้เป็นตามที่โนแลนต้องการมากที่สุดและมีความเข้มข้นที่สุด
The Dark Knight Rises จึงเป็นภาคที่โนแลนสร้างออกมาให้มีความยาวของภาพยนตร์มากกว่าสองภาคที่แล้ว โดยภาพยนตร์จะยาวถึง 164 นาที 27 วินาที ซึ่งเท่ากับยาวกว่า The Dark Knight ภาคที่แล้ว 12 นาที และยาวกว่า Batman Begins 24 นาที นอกจากนี้ยังมีฉากที่ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX มีความยาวถึง 60 นาที หรือราว 1 ใน 3 ของหนัง โดยโนแลนให้เหตุผลของการเลือกถ่ายทำด้วยระบบ IMAX ว่า
"เราได้รับผลตอบรับอันยอดเยี่ยมจากภาคที่แล้ว ( The Dark Knight ) ผมชอบที่มันช่วยเสริมอรรถรสได้อย่างดีในแง่ทางเทคนิค แต่ผมสนใจมันในแง่การเป็นเครื่องมือการเล่าเรื่องมากที่สุด ในแง่ที่ว่ามันจะช่วยให้ผมดึงผู้ชมเข้าสู่โลกแห่งนี้ได้ลึกขึ้นได้ยังไง IMAX ได้ให้ขนาดของภาพที่กว้างที่สุด สร้างประสบการณ์ได้เข้มข้นที่สุด" ดังนั้นการที่จะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ได้อรรถรสตามที่โนแลนต้องการมากที่สุด ทีมงาน toptenthailand ขอแนะนำเพื่อนๆ ให้ชมในระบบ IMAX กันนะครับ
7. บทวิจารณ์แง่ดีมากที่สุด!!!
อันดับที่ 7 เป็นเรื่องของคำวิจารณ์ต่างๆ : The Dark Knight Rises ไม่เพียงเป็นภาคที่ยาวที่สุด มีฉาก IMAX มากที่สุด แต่อาจได้เป็นภาคที่ได้รับคำวิจารณ์แง่ดีมากที่สุดด้วย เพราะตามรายงานของ CMB บอกว่า ภาพยนตร์ได้เปิดรอบพิเศษสำหรับนักวิจารณ์ในนิวยอร์กเมื่อ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา และได้รับการยืนปรบมือจากผู้ชมที่มีทั้งหมดราว 40-50 คน ที่เป็นนักวิจารณ์ในนิวยอร์กและได้มีโอกาสเข้าชมครั้งนี้ด้วย
วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ให้นักวิจารณ์เซ็นต์ข้อตกลงว่าจะไม่เปิดเผยบทวิจารณ์จนกว่าจะถึงวันพุธที่ 18 ( วันเข้าฉายตามปกติ ) แต่ก็ไม่ได้ห้ามนักวิจารณ์เหล่านี้ที่จะบอกความรู้สึกที่ได้ชมลงตามเว็บบอร์ดหรือเครือข่ายอื่นๆ ซึ่งลอเรน ไฮสแตนด์ หนึ่งในนักวิจารณ์ที่ได้ชมหนังได้เขียนข้อความลงในทวิตเตอร์บอกถึงปฏิกิริยาหลังชมจบว่า ตัวภาพยนต์ได้รับการ "ยืนขึ้นปรบมือ" จากนักวิจารณ์และสื่อมวลชนที่ได้ชม
ไนโก เทียพูลา หนึ่งในผู้ที่ได้ไปชมก็ให้ความเห็นคล้ายกันในทวิตเตอร์ว่า "เป็นที่แน่นอนแล้ว ว่า The Dark Knight Rises เจ๋งโคตร " อีกทั้งยังได้รับการยืนปรบมือจากผู้ชมในรอบพิเศษเช้านี้ (ทั้งหมดเป็นนักวิจารณ์) และขยายความอีกว่า " เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์และทรงพลังมากๆ"
เช่นเดียวกับแซ็ค พินคัส ชื่นชมหนังลงในทวิตเตอร์ว่า " The Dark Knight Rises ไม่ใช่แค่เป็นภาพยนต์ Batman ที่ดีที่สุดได้อย่างง่ายดาย แต่เป็นหนึ่งในภาพยนตร์โปรดที่ของผมทันทีอีกด้วย มันเหลือเชื่อมาก"
ขณะเดียวกัน ท็อด แม็คคอลิฟฟ์ ได้ให้ความเห็นอย่างยาวว่า " The Dark Knight Rises มีความคลาสสิคในแบบของมันเอง มีความสมบูรณ์ในตัวของมันเอง แต่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของไตรภาค และในฐานะภาคปิดฉาก ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นมากกว่านั้นมาก มันเป็นตอนจบที่สะท้อนโอกาสสำหรับความคิดแน่ๆ หนังมีเนื้อเรื่องที่เสี่ยงและยาก แต่ก็เล่าออกมาได้ดี มีการแสดงที่เยี่ยม การกำกับภาพที่ยอด และดนตรีประกอบที่สุดยอด" แม็คคอลิฟฟ์ยังให้คะแนนหนังที่ 9/10 ด้วยครับ โดยเปรียบเทียบกับ The Avengers ที่เขาให้ 8.5 และ The Amazing Spider-Man ที่เขาให้ 7.5 คริสโตเฟอร์ โนแลน เคยได้รับความสำเร็จมาแล้วใน The Dark Knight ปี 2008 ที่กลายเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำเงินสูงสุด (ก่อนที่จะถูกโค่นด้วย The Avengers) ตัวภาพยนต์ได้รับคำวิจารณ์ด้านดีอย่างท่วมท้น และยังได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขา และคว้ามาสองรางวัลในสาขานักแสดงสมทบชายจากบทบาทอันยอดเยี่ยมของฮีธ เลดเจอร์ ผู้สวมบทเป็นโจ๊กเกอร์ตัวร้าย และอีกรางวัลในสาขาตัดต่อเสียง
ในปีนี้โนแลนกลับมาอีกครั้งด้วย The Dark Knight Rises ซึ่งได้รับการคาดหวังสูงว่าภาพยนตร์จะยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นกว่าเก่า และมีพลังมากขึ้นกว่าเก่า อาจเป็นภาพยนต์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นผลสำเร็จ ใช้ทุนสร้างร่วม 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มากกว่าภาคไหน และเสริมความน่าอยากดูเข้าไปอีกด้วยการ เพิ่มนักแสดงคุณภาพมากมายอย่าง ทอม ฮาร์ดี, แอน แฮทธาเวย์, โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิทท์, มาริยง โกติญาร์ และ แมทธิว โมดีน
6. The Bat ปรากฏกายครั้งแรก!!!
อันดับที่ 6 คือ พาหนะใหม่ของ Batman : ภาพยนตร์ Batman ทุกภาคย่อมมีของเล่นใหม่ มาใช้ในการปราบอธรรม ที่จะมาเพิ่มความน่าสนใจให้แก่ตัวภาพยนตร์ หนึ่งในนั้นก็คือยานพาหนะ ซึ่งใน The Dark Knight Rises แบทแมนจะมีพาหนะใหม่เป็นเครื่องบิน และมันมีชื่อสั้นๆ ว่า The Bat ออกแบบและสร้างโดยลูเซียส ฟ็อกซ์ (มอร์แกน ฟรีแมน) เช่นเคย
เห็นชื่อสั้นๆแบบนี้ แต่การตั้งชื่อให้กับมันถือว่าเป็นเรื่องนานมาก "ผมใช้เวลาคิดชื่อมันนานมากเลยนะ อยากให้มันดูฉลาดๆ หน่อย แบทจุดจุดจุดโน่น แบทจุดจุดจุดนี่ แล้วก็มาคิดขึ้นได้ว่า มันก็บินได้เหมือนค้างคาวตัวนึงนี่นา งั้นมันชื่อ The Bat แล้วกัน!!! " โนแลนกล่าว
แต่สำหรับทีมสร้างภาพยนต์แล้ว พอล แฟรงกิน และ คริส คอร์บูล์ด ซึ่งดูแลรับผิดชอบด้านเทคนิคพิเศษในภาพยนตร์ เล่าว่า ส่วนประกอบของ The Bat นั้น เอามาจากเฮลิคอปเตอร์จู่โจมรุ่นอาปาเช่ แล้วมาผสมกับออสเพรย์ พรอพ เจ็ต และ แฮริเออร์ จัมป์ เจ็ต ซึ่งทั้งหมดเป็นพาหนะที่กองทัพสหรัฐใช้ และเพื่อให้หนังออกมาสมจริงมากที่สุด ทีมงานจึงต้องลงมือสร้างพาหนะเสมือนจริงนี้ขึ้นมาเพื่อใช้ในการถ่ายทำภาพยนต์ เมื่อถึงเวลาถ่ายทำ ทีมงานได้ขนทั้งเครน รถยก และสลิง มาทำให้มันดูลอยและบินได้จริงก่อนที่จะใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกลบออกไป
5. แคทวูแมน (แอน แฮทธาเวย์) เกือบโดนหั่นบททิ้ง เพราะโนแลนคิดว่าไม่เวิร์ค!!!
อันดับที่ 5 คือเรื่องของแคทวูแมน ที่เกือบจะไม่มีบทในภาคจบนี้ : ในช่วงที่มีการเขียนบทภาพยนตร์กันอยู่ 2 พี่น้องโนแลนมีความเห็นบางอย่างที่ไม่ตรงกัน นั้นคือ การนำเอา นางแมวป่า แคทวูแมน มาใส่ลงไปในตัวภาพยนตร์ "แคทวูแมน เรียกได้ว่าเป็น ตัวไอคอนของจักรวาลแห่ง Batman เลยน่ะครับ" คริสโตเฟอร์ โนแลน ยังบอกต่ออีกว่า " ผมกังวลมากๆเลย ที่จะนำเอาตัวเธอมาใส่ไว้ในโลกของเรา (The Dark Knight Rises) แต่น้องชายผม โจนาธาน โนแลน มั่นใจอย่างมากที่จะให้มีตัวละครตัวนี้ในภาพยนตร์ แล้วยืนยันว่ามันจะไปได้สวยแน่นอน"
โนแลนบอกต่ออีกว่า เขาต้องคิดเยอะมากว่าจะนำ แคทวูแมน มาใส่ในโลกของเขายังไง "สิ่งนั้นทำให้ผมต้องใช้พลังสมองอย่างมาก ในการสร้างตัวละครตัวนี้ให้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง โลกในมุมมองของผม ว่าตัวละครนี้จะเป็นใคร มีลักษณะแบบไหน"
โนแลน ยังกล่าวเสริมว่าทำไม แคทวูแมน จึงมีความสำคัญมากๆในภาพยนตร์ Batman ภาค 3 นี้ " ที่เรากำลังพยายามทำกันอยู่คือการเล่าถึงตอนจบอันสมบูรณ์แบบของ Batman เราต้องมีเธอ (แคทวูแมน) เพราะตัวเธอจะเป็นตัวละครที่เติมเต็มความเป็น Batman ได้มากขึ้น" ส่วนเรื่องที่ว่า แคทวูแมน จะมาร้ายหรือมาดี โนแลน บอกไว้เพียงว่า "ที่ว่าเธอจะเป็นคนร้ายหรือคนดีน่ะเหรอ ? อืม.. เธอไม่ได้เป็นทั้งสอง" โนแลน กล่าวปิดท้าย ทีมงาน toptenthailand คิดว่าใครที่ได้ไปดูจบเรียบร้อยแล้วก็อย่าแอบบอกก่อนนะครับ ว่าตกลงแล้วแคทวูแมน มาร้ายหรือดี เดี๋ยวจะไม่ตื่นเต้น ^^"
4. ทำไมถึงไม่มีการกล่าวถึง โจ๊กเกอร์ ในภาคนี้!!!
อันดับที่ 4 คือเรื่องราวของ โจ๊กเกอร์: ด้วยเนื้อเรื่องเหมือนจะเป็นภาคต่อจาก The Dark Knight หลังจาก ฮาร์วี่ เดนท์ ได้ตายลง แต่อิทธิพลทางด้านอุดมคติของตัวละครตัวนี้ก็ยังคงล่องลอยอยู่ในหนัง The Dark Knight Rises แถมมันยังลอยอยู่อย่างเข้มข้นด้วย ซึ่งความจริงมันควรจะมีการพูดถึงโจ๊กเกอร์ต่ออีกในฐานะเป็นตัวการทำให้ ฮาร์วี่ เดนท์ กลายเป็น ทูเฟซ แต่จากเหตุการตายอันน่าเศร้าของ ฮีธ เลดเจอร์ ผู้แสดงโจ๊กเกอร์ ทำให้ Batman ภาคจบนี้จะไม่มีการไปแตะต้องโจ๊กเกอร์อีก "
จะไม่มีการพูดถึงโจ๊กเกอร์เลย" โนแลนกล่าว "นี่เป็นสิ่งที่ผมชัดเจนมากในฐานะเพื่อนของฮีธ และหลังจากผ่านประสบการณ์ร่วมกันกับเขามาใน The Dark Knight ผมไม่อยากเอาความตายของเขามาขายไม่ว่าทางใด มันไม่เหมาะสม เรามีตัวละครชุดใหม่ และเรื่องราวต่อไปของบรูซ เวย์น ที่ไม่มีโจ๊กเกอร์ ดังนั้นเรามั่นใจว่าจะปิดฉากไตรภาคของภาพยนตร์ชุดนี้ได้โดยไม่มีตัวละคร โจ๊กเกอร์อย่างแน่นอน "
3. Bane ถูกเลือกให้เป็นตัวร้ายที่จะปิดฉากไตรภาคได้ดีที่สุดในเวอร์ชั่นโนแลน!!!
อันดับที่ 3 คือ เรื่องของ Bane : ในตำนานฉบับหนังสือการ์ตูนนั้น Bane ถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของ Batman ไม่แพ้โจ๊กเกอร์เลยทีเดียว มีทั้งความฉลาดเจ้าเล่ห์ และพละกำลังอันแข็งแรง
Bane ปรากฏกายครั้งแรกในฉบับนิยายภาพ Batman: Vengeance of Bane เล่มที่ 1 ออกวางจำหน่ายในปี 2536 เป็นตัวร้ายตัวแรกที่สามารถบดขยี้ Batman จนหลังหักและกลายเป็นอัมพาต ซึ่งต่อมาเมื่อ Batman รักษาตัวเองให้เป็นปกติได้แล้วก็กลับมาแก้แค้นได้สำเร็จ
โนแลนให้เหตุผลของการเลือก Bane เป็นตัวร้ายว่า " ความแข็งแรงทางร่ายกายและความฉลาด เป็นเหตุผลสำคัญ ถ้าต้องการผู้ร้ายที่ดี เราจำเป็นต้องมีต้นแบบ เราต้องมีผู้ร้ายที่มีความสุดโต่งมากๆ โจ๊กเกอร์เป็นตัวร้ายต้นแบบของความเป็นปีศาจ ของความสับสนอลหม่านไร้กฎหมาย และมีอารมณ์ขันที่ชั่วร้าย แต่สำหรับ Bane แล้ว เขาเป็นอะไรที่เรายังไม่เคยใช้ในหนังมาก่อน"
ส่วน โจนาห์ โนแลน ได้กล่าวถึงการได้นักแสดงรางวัลออสการ์อย่าง ฮีธ เลดเจอร์ มาเล่นในบทที่เขาเขียนว่า "เขาเป็นสุดยอดในอาชีพของผม" แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้นน้อยลงกับการได้ ทอม ฮาร์ดี้ มาแสดงเป็น Bane "โจ๊กเกอร์นั้นเป็นพวกอนาธิปไตย เขาเหมือนจะไม่มีแผนการอะไร แต่ก็มีประมาณนึง และคำถามที่เป็นพลังขับเคลื่อนหนัง The Dark Knight ก็คือ เขาอยากจะฆ่า Batman หรือเปล่า? แล้วมันก็หักมุมออกมาว่าเขาไม่ได้อยากฆ่า Batman เขาแค่อยากฆ่าคนอื่นให้หมดเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้มีที่ทางเหลือสำหรับภาค 3 นี้ที่จะให้ตัวร้าย ได้ร้ายมากขึ้นไปอีก Bane เป็นตัวละครที่ดุดันกว่านั้นมาก มีสรรพกำลังหนุนหลัง มุ่งมั่นที่สุดที่จะทำลายล้าง ฉลาดและเป็นวายร้ายที่รู้ใจตัวเองเป็นอย่างดีว่าต้องการอะไร นั่นคือ!!! เขาต้องการให้ Batman ตายและก็อทแธมกลายเป็นเถ้าถ่าน ซึ่งนั่นเหมาะมากที่จะเป็นตัวร้ายในภาคจบ"
2. สิ่งที่โนแลนต้องการสื่อในภาพยนต์ The Dark Knight Rises !!!
อันดับที่ 2 สิ่งนี้เป็นจุดสำคัญของภาพยนต์ The Dark Knight Rises อีกจุดหนึ่ง ที่เราต้องเข้าใจในภาพยนตร์ของโนแลนก็คือ : โนแลนนั้นเป็นผู้กำกับที่ละเอียด เพราะฉะนั้นการที่เพื่อนๆ ได้ดูหนังของเขา ต้องรู้ด้วยว่าเขาต้องการสื่ออะไร ซึ่งจริงๆ แล้วในสามภาคเขาก็ต้องการสื่อความหมายออกมาดังนี้ คือ Batman Begins - ความกลัว (FEAR) , The Dark Knight - ความโกลาหล (CHAOS) และ The Dark Knight Rises - ความเจ็บปวด (PAIN) ซึ่งจะเห็นได้เลยว่าแต่ละภาคนั้น สื่อออกมาได้ตรงตัวมาก
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมภาคนี้ ถึงได้เน้นไปที่ความเจ็บปวด ความเศร้า ความสิ้นหวัง มากกว่าที่จะเน้นไปที่ความเครียด วุ่นวาย ยุ่งเหยิงแบบภาคที่แล้ว ซึ่งพอได้ทราบถึงจุดนี้แล้วหลายๆคนก็จะเข้าใจว่าทำไมภาคนี้ถึงออกมาเป็นแบบนี้ มีการนำเสนอแบบนี้ ที่สำคัญเพื่อนๆ ควรจะชมทั้ง 2 ภาคก่อน แล้วจึงค่อยดูภาคนี้เป็นบทสรุปเรื่องราวทั้งหมด เพราะหากเรามองไปที่ภาพรวมทั้ง 3 ภาค ภาคแรก Batman Begin ก็เปรียบเสมือนการปูทางให้รู้จัก Batman ในรูปแบบใหม่ , ภาคสอง The Dark Knight ก็เปรียบเสมือนไคลแมกซ์ของตัวภาพยนตร์ที่ดันอารมณ์ผู้ชมพุ่งขึ้นไปถึงขีดสุด และภาคสาม The Dark Knight Rises ก็คือบทสรุปของเนื้อหาทั้งหมดที่ทำมาได้ลงตัวที่สุด
1. ปิดตำนาน Batman ไตรภาคของโนแลน ก่อนจะปูทางสู่ The Justice League !!!
และแล้วก็มาถึงอันดับที่ 1 เรื่องที่ทุกคนต่างก็เสียดายว่าทำไม The Dark Knight Rises จะเป็นภาพยนตร์ Batman เรื่องสุดท้ายของ คริสโตเฟอร์ โนแลน เราไปดูคำตอบกันครับ : หลังจากโนแลนได้ทำการปิดฉากไตรภาคที่ได้เริ่มต้นไว้ตั้งแต่ปี 2005 แล้ว โนแลนได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขาจะไม่กลับมาสู่เรื่อง Batman นี้อีก เพื่อจะก้าวไปทำภาพยนตร์อย่างอื่นต่อไป เพราะเขาปิดฉากตำนานไตรภาคนี้ได้แบบไม่ต้องมีอะไรติดค้างอีกแล้ว ที่สำคัญเขาได้พิสูจน์ฝีมือของตัวเองแล้วว่า แม้จะเป็นภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่เขาก็สามารถกำกับให้เป็นภาพยนต์ที่มีแนวทางชัดเจน ตามที่เขาคาดหวังไว้ อีกทั้งยังสามารถทำให้ตัวภาพยนต์มีโอกาสคว้ารางวัลจากสถาบันต่างๆ ไม่น้อยหน้าภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่ได้รางวัลทั้งหลายเหล่านั้น
ทั้งยังมีรายงานว่า หลังจากที่โนแลนได้อิ่มตัวปิดฉาก Batman ไตรภาค ชุดนี้แล้ว ทางวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ก็ถือโอกาสอันดี มีแผนที่จะยกเครื่องให้กับ Batman ใหม่ โดยหวังจะให้มีการสร้างภาพยนตร์ Batman อีกรอบในแบบที่แตกต่างออกไป โดยนักแสดง อาร์มี แฮมเมอร์ ( ฝาแฝดนักกีฬาในหนัง The Social Network ) ถูกวางตัวไว้ในบท Batman เพื่อปูทางให้ Batman ได้พบกับ superman ในหนังรวมเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ The Justice League Of America ที่มีแผนจะสร้างในอนาคตอันใกล้นี้
ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Batman ไตรภาคชุดนี้ ต่างเชื่อว่าหนังแบทแมนจะถูกสร้างขึ้นอีกแน่ "แบทแมนจะอยู่ให้นักสร้างหนังในอนาคตได้ตีความไปอีกนาน" โนแลนกล่าว "และผมก็อยากจะเห็นมัน" ทีมงาน toptenthailand เชื่อเหลือเกินว่าภาพยนตร์ Batman แม้จะมีการสร้างใหม่อีกกี่สิบรอบ แต่ ภาพยนตร์ Batman ไตรภาคของโนแลนก็จะเป็นที่จดจำของใครหลายๆ คน เพราะเสน่ห์ในแบบของโนแลน ยากที่จะหาแบบฉบับไหนมาเทียบเคียงได้ในอนาคต