4เกลอขายขำ สีสัน "พี่มากฯ" 400 ล้าน
หลังเรียกเสียงฮาใน "สี่แพร่ง" ตอน "คนกลาง" และ "ห้าแพร่ง" ตอน "คนกอง" 4 นักแสดงสุดฮา "ฟรอยด์" ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์, "เผือก" พงศธง จงวิลาส, "เชน" อัฒรุต คงราศรี และ "บอมบ์" กันตพัฒน์ เพิ่มพูนพัชรสุข ก็ถูกผู้กำกับฯ "โต้ง" บรรจง ปิสัญธนะกูล นำมาเรียกเสียงหัวเราะอีกในภาพยนตร์เรื่อง "พี่มากพระโขนง" ที่โกยรายได้ทะลุ 400 ล้านบาทไปแล้ว
หนังฮิตพาคนฮอตเลยพลาดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับ 4 หนุ่ม ที่รับบท เต๋อ เผือก ชิน และ เอ เพื่อนของ "มาก" ใน "พี่มากพระโขนง"
โดย เชน เผยถึงการรวมตัวว่า "เราทำงานด้วยกันตอนเล่นหนัง 4 แพร่ง และ 5 แพร่ง ซึ่งผมเคยร่วมงานกับพี่โต้งมาก่อนตอนเขาทำหนังโฆษณา ได้เห็นเคมีเราบางอย่าง เลยเรียกมาแคสต์"
ฟรอยด์เสริม "ที่เรามารวมตัวกันอีกครั้งเพราะเรา 4 คนเล่นด้วยกันแล้วรู้ทาง เข้าขารู้จังหวะกัน นอกจากได้ดูพี่มากกับแม่นาคแล้ว เขาเลยให้พวกเราเข้ามาเป็นสีสัน เติมความฮาให้หนัง"
แว้บแรกที่เจอกันเป็นอย่างไร เผือก เล่าว่า "ผมเห็นหน้าเชนก่อน แล้วก็ฟรอยด์ ซึ่งฟรอยด์เป็นรุ่นน้องที่คณะไม่ห่วงเลยเรื่องความเข้ากัน เพราะเห็นพฤติกรรมความห่ามเขามาตลอด" ฟรอยด์ร้อง "อ้าว" เผือกเล่าต่อ "ส่วนบอมบ์เคยเห็นเขาในมาดนักร้อง ไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลาเวิร์กช็อปกันน้อยมาก กลับดูเหมือนสนิทมานาน อาจเป็นความอัศจรรย์บางอย่างที่เคมีเราเข้ากันเหลือเกิน"
เชนรับช่วง "ต้องบอกว่าเราทั้งลุ้นทั้งรอว่าเมื่อไรจะมีงานที่ทำด้วยกันอีก เพราะตั้งแต่จบ 5 แพร่ง กระแสตอบรับดีมาก พี่โต้งบอกว่าพวกเราต้องมีหนังที่เล่นเต็มเรื่อง แต่ต้องใช้เวลารอนาน กว่าที่เขาจะเจอไอเดียเรื่องพี่มากพระโขนง ประมาณ 2-3 ปี"
ตอน "โต้ง" บอกให้เล่นเรื่องพี่มากพระโขนง รู้ไหมว่าแต่ละคนบทจะเป็นแบบไหน
ฟรอยด์ เผยว่า "รู้เพราะมันมีแบ๊กกราวด์อยู่แล้ว"
เชน เสริม "สิ่งแรกที่พี่โต้งโทร.มา บอกว่าต้องตัดผมนะ อย่างผมต้องทำหัวจุกแบบคนโบราณ แต่งตัวก็โบราณ ผมก็บอกว่าได้ เรามองเป็นแบบคนโบราณ แต่เอาเข้าจริง ไม่คิดว่าจะตัดสั้น ขนาดนี้ ตกใจเหมือนกัน แต่พออ่านบทแล้วก็โอเค ทุ่มกันสักครั้ง"
ในเรื่องแต่ละคนมีช่วยเติมมุขบ้างหรือเปล่า ทั้งสี่พูดเป็นเสียงเดียว "คิดตลอด ขายตลอด"
มุข อะไรที่คิดกันเองบ้าง เผือกยกตัวอย่าง "มุขที่อยู่บนเรือ แล้วบอมบ์นั่งสับไพ่ เกิดจากที่พี่โต้งถ่ายเสร็จแล้วบอกว่าเผือก ขอเผือกด่าสัก 3 ออปชั่น ผมก็ด่า 'มึงจะสับยันเช้าเลยไหมนี่ ไปแข่งไพ่ลีลาป่ะล่ะ พ่อมึงเป็นเกาจิ้งหรือไงนี่' กลายเป็นว่าทั้ง 3 ออปชั่นมาอยู่ในหนัง ซึ่งมุขมันก็ทำงานของมัน คนดูก็ฮา"
ฟรอยด์ แง้ม "อย่างในเรื่องพี่เชนกับพี่เผือกจะรับส่งกัน ผมหรือบอมบ์มีอะไรก็นำเสนอ คุยกันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของหนัง ไม่ใช่อ่านบทแล้วเล่นตามบท บางคนเล่นไม่ได้ อีกคนก็ช่วย"
เผือก เสริม "อย่างคำว่า ตาตุ่มหมา ที่เป็นบทผมพูด ฟรอยด์เป็นคนคิด แต่ฟรอยด์รู้ว่าด้วยคาแร็กเตอร์เขาจะพูดคำนี้ไม่ได้"
ฟรอยด์ แย่งพูดต่อ "ผมเห็นพี่เชนตัดผมทรงนี้ก็แซวว่า ทรงผมหรือตาตุ่มหมานี่ ผู้กำกับฯ ได้ยินก็เอามาใส่ในเรื่อง พอตัดออกมาแล้วมันได้มันฮา"
เผือกแทรก "มันต้องเป็นทีมเวิร์กจริงๆ ไม่ใช่ใครคิดมุขได้แล้วจะมาเล่นเอง เราดูความเหมาะสมครับ"
มุขที่ใช้เล่นในเรื่องเป็นตามบทหรือมุขสด เผือกตอบ "เป็นมุขสดเยอะ ประมาณ 40% ที่เห็นในเรื่อง"
เชน กล่าวว่า "พวกเราจะใส่เป็นของแถมท้ายซีน เหมือนว่าทั้งซีนเราก็เล่นตามบทมาตลอด แต่พอท้ายซีนเราอยากเล่นอะไรก็ปล่อยมามุขหนึ่ง สุดท้ายเขาก็เอาไปใส่ไว้ในหนังเยอะมาก"
ได้ยินว่ามีคนนึงในกลุ่มโดน อำเยอะสุด เชนยกมือ "เป็นผมเอง ด้วย 2-3 ปีที่หายไป ไม่มีงานแสดงเลยไปทำงานประจำ กลับมาต้องหาทิศทางตัวเองอยู่พักใหญ่ ได้เพื่อนๆ เข้ามาช่วยว่าพี่ต้องเล่นอย่างนี้สิ ไดอะล็อกนี้ต้องจำและพูดออกมาจากความรู้สึก"
เผือกกล่าวว่า "ต้องบอกก่อนว่าคาแร็กเตอร์ตัวจริงของเชนกับในหนังคนละเรื่องเลย เชนไม่ใช่คนแหย ไม่ได้เป็นคนขี้กลัว ไม่ได้เป็นลูกแหง่ มันต้องเปลี่ยนคาแร็กเตอร์จากหน้ามือเป็นหลังมือ คิวแรกๆ จะยากสำหรับเขาหน่อย เราก็ต้องช่วยกัน ช่วยให้กำลังใจ ด่าบ้างอะไรบ้าง (หัวเราะ)"
ฟรอยด์ต่อ "สำหรับผมถึงพี่เชนจะเป็นรุ่นพี่ แต่เราสนิทกันอำกันจนรู้ บางครั้งด่าว่าอะไรของมึงเนี่ย เล่นไม่ได้สักทีเหรอวะ"
บอมบ์ ที่เงียบอยู่นานพอมีช่องก็แทรกทันทีว่า "นี่ถือเป็นจิตวิทยาอย่างนึงที่ทำให้อีกคนต้องทำให้ได้"
แล้ว บอมบ์ล่ะ ดูไม่น่าจะตลกได้ บอมบ์ตอบ "คาแร็กเตอร์ในเรื่องผมก็ไม่ค่อยตลกนะ จะเป็นคนนิ่งๆ ตั้งแต่ 4 แพร่ง, 5 แพร่งแล้ว" เผือกแทรก "แต่ตัวจริงบอมบ์เป็นคนพูดเยอะนะ" เชนและฟรอยด์พยักหน้ายืนยัน และแฉว่า "พูดมากแบบไม่ค่อยได้สาระ"
เผือกรับลูก "ใช่ครับ พอเขามารับคาแร็กเตอร์เป็นคนนิ่งๆ คนก็คิดว่าเขานิ่งๆ แต่จริงๆ เขาพูดเยอะ"
ทำงานด้วยกันมา 2 เรื่อง การร่วมงานด้วยกันทั้ง 4 คนผ่าน ฉลุย แต่ต้องมาเล่นกับ "มาริโอ้" และ "ใหม่ ดาวิกา" ในหนังเรื่องนี้กังวลไหม
ฟรอยด์ ยกมือพูดก่อน "สำหรับผมไม่เกร็งเลย เพราะผมรู้จักทั้งคู่อยู่แล้ว เคยทำงานด้วยกันมาก่อน ผมทำงานพิธีกรแล้วใหม่มาเป็นเซเลบ อย่างโอ้ก็เคยเจอตามงาน รู้ว่าคุยไปทางเดียวกัน"
"อ้าว...ทีนี้พี่เผือกบ้าง รู้สึกอย่างไรที่ทำงานกับทั้งสองคนนี้" ฟรอยด์โยนลูก
เผือก ตอบ "สำหรับผมเคยสัมภาษณ์โอ้ ตอนแรกมีแอบคิดว่า ถ้าเคมีเราเข้ากันจะเป็นอย่างไร แต่ลึกๆ ไม่ค่อยห่วง เพราะประสบการณ์การแสดงของโอ้มันเชื่อใจได้อยู่แล้ว แต่กับใหม่ยอมรับว่าเซอร์ไพรส์มาก เพราะผมไม่เคยดูละครที่เขาเล่น พอได้มาเจอการแสดงของใหม่ ตอนส่งอารมณ์ โห...ทำไมเด็กคนนี้เล่นเก่งจัง แค่นั่งเฉยๆ แต่แววตาที่เขามองมา คือใครได้ดูหนังจะรู้เลยว่าตาแม่นาคมันสื่อความหมายมหาศาล"
บอมบ์ พูดต่อ "สำหรับผมจะคล้ายๆ พี่เผือกคือเซอร์ไพรส์ใหม่ ส่วนโอ้พอรู้ว่าได้เล่นหนังด้วยกัน ก็ได้เจอและคุยกันก่อน โอ้บอกเลย ผมเล่นหนังกับพวกพี่ 4 คน ผมโคตรกลัวพวกพี่เลย โอ้ปล่อยมาเยอะมาก เราเลยรู้สึกว่าโอ้ไม่ได้เป็นเหมือนซูเปอร์สตาร์ แสดงว่าเด็กคนนี้คุยได้ง่ายๆ พอได้เวิร์กช็อปกัน รู้สึกเลยว่าเด็กสองคนนี้ทำงานร่วมกันได้ง่ายมาก"
เชน เล่าว่า "ผมโชคดีสุด เพราะพี่ชายโอ้เป็นรุ่นน้องผมสมัยเรียนมัธยม คุยกันง่ายเลย ส่วนใหม่ผมต้องเข้าซีนกับเขาหลายฉาก ตอนแรกเกร็งมาก ผมเป็นคนที่ไม่ดูละครเลยไม่รู้จักเขา ไปถามแอ๊กติ้งโค้ชว่าเขาคือใคร เขาก็บอกว่าเป็นนางเอกดังมาก แล้ว 3 คนนี้ก็ช่วยกันบิลด์ใหญ่เลย ตอนแรกกลัว พอถ่ายไปสักพักและก็เล่นเกมด้วยกัน ทำให้สนิทกันเร็ว พอสนิทกันเวลาเล่นก็เลยเล่นด้วยกันง่าย น้องเขาส่งอารมณ์มาให้แบบเต็มๆ รู้สึกเลยว่านี่แหละมืออาชีพตัวจริง"
ในเรื่องนี้แต่ละคนชอบซีนไหน มากที่สุด
ฟรอยด์ ตอบ "ผมชอบช็อตที่อยู่บนเรือแล้วเต้นกัน เพราะมันเป็นช็อตที่ทุกคนอยู่รวมกัน เป็นช็อตที่ได้ลุ้น เป็นจุดไคลแมกซ์ของหนัง"
เผือก แง้ม "ส่วนผมชอบซีนที่ไม่มีตัวเองอยู่ในฉาก ชอบฉากที่โอ้กับใหม่เล่นด้วยกัน เขาส่งอารมณ์กัน ทั้งซีนในงานวัด ศาลาวัด สองซีนนี้ผมประทับใจ ดูแล้วรู้สึกว่ามันทำให้หนังเรื่องนี้ยิ่งสมบูรณ์มากๆ"
บอมบ์ กล่าว ว่า "ผมชอบฉากที่น้องใหม่โกรธ ตอนเป็นผีแม่นาคแล้วพูดว่า "มึงอย่ามายุ่งกับกู" ฉากนั้นผมนั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ ตอนนั้นทุกคนต้องเงียบ น้องใหม่ตะโกนอยู่แค่คนเดียว ในนั้นเสียงมันก้องและตาน้องน่ากลัวมาก ดูแล้วขนลุก"
เชน ต่อว่า "แต่ผมชอบฉากใบ้คำ ทุกคนเหมือนได้กลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง ได้เล่นใบ้คำมีท่าทาง ได้คลายเครียด แล้วทุกคนที่ทายก็พูดมาจากอารมณ์ของตัวเองตอนนั้นจริงๆ แล้วฉากนี้เป็นฉากที่สนุกที่สุด เราเล่นเองยังชอบเลย"
คิดไหมว่าหนังจะทำรายได้มากขนาดนี้
เผือกกล่าวว่า "ต้องคิดกันบ้างล่ะ" ฟรอยด์พยักหน้าเป็นลูกคู่
เผือก พูดต่อ "เราเห็นหนังตอนที่ถ่ายกันแล้ว รู้สึกว่าหนังต้องโอเค ส่วนตัวผมนะ เอาแค่ทำรายได้แซง 5 แพร่งที่ผมเล่น ผมก็ฟินแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมหาศาลขนาดนี้ เซอร์ไพรส์เหมือนกัน แต่อย่างฟรอยด์เขามั่นใจหน่อย เขาคิดว่าหนังต้องไป 399 ล้านแน่นอน (หัวเราะ)"
ฟรอยด์ รับ "ใช่ครับ ผมแท็กลงในไอจีบอกว่าหนังจะทำรายได้ 399 ล้าน แท็กตั้งแต่หนังออกฉายเแรกๆ เหมือนเล่นๆ กัน แต่ตอนนี้มันเกินกว่านั้นไปแล้ว (หัวเราะ)"
เล่นหนังด้วยกันมา 3 เรื่อง แต่ละเรื่องเป็นหนังทำเงินหมด
เผือก ตอบ "เรื่อง 4 แพร่ง ได้ 70 ล้าน 5 แพร่ง ได้ 110 ล้าน มาเรื่องพี่มากฯ ยังไม่รู้จะจบที่เท่าไร"
แบบ นี้เรื่อง "พี่มากฯ" เรียกว่าพวกเราทั้ง 4 คนเป็นจุดขายได้ไหม เผือก เผยว่า "หลายคนพูดว่าในเรื่องพวกเราทั้ง 4 คนเด่นมาก เราเป็นเพื่อนของพี่มาก พวกเราไม่ใช่พระเอก ถ้าพวกเรา 4 คนตลกอย่างเดียวโดยไม่มีฉากดราม่าที่ถึงอารมณ์ของใหม่กับโอ้ หนังเรื่องนี้จะกลายเป็นหนังตลกธรรมดาๆ เรื่องนึง ที่จะไม่มีคนดูออกมาจากโรงหนังพร้อมกับร้องไห้ ซึ่งผมว่าความเซอร์ไพรส์ตรงนี้มากกว่าที่ทำให้หนังเรื่องนี้มาถึงวันนี้ได้ สำหรับพวกเรานะ เข้าไปดูพวกเราแล้วตลก ผมถือว่าเสมอตัวครับ"
อยากมีผลงานร่วมกันอีกสักเรื่องไหม
เผือกพยักหน้า "อยากอยู่แล้ว แต่ผมอยากให้เป็นผลงานที่กลับมาแล้วคุ้มค่า สำหรับผม กราฟของพวกเราอยู่ในระดับสูงมากแล้ว ถ้ากลับมาแล้วแผ่วๆ เราคงเซ็งเนอะ" เผือกหันไปถามเพื่อนๆ ซึ่งทั้งหมด พยักหน้ายืนยัน จากนั้นก็กล่าวต่อว่า "ณ วันนี้ผมยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าพวกเราทั้ง 4 คนจะไปปรากฏตัวที่ไหนอีก ต้องรอลุ้นว่าไอเดียพี่โต้งจะเป็นยังไง"
"พวกเรากลับมาแน่ มันต้องเป็นผลงานที่ควรคู่กับการกลับมา แต่ตอนนี้ฝากหนัง "พี่มากพระโขนง" ด้วยครับ ยังเข้าฉายอยู่" เผือกทิ้งท้าย