วิจารณ์หนัง Iron Man 3
ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ในที่สุด ก็ได้เวลาที่รอคอยเสียที ภาพยนตร์สไตล์ซูเปอร์ฮีโร่จากการ์ตูนที่ระยะนี้ฮอลลีวู้ดทำออกมาบ่อยเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในเจ้าพ่อด้านนี้อย่าง Marvel Studios หันมาจับงานด้านภาพยนตร์เสียเอง เมื่อของมันขายได้ และขายได้ดีเสียด้วยสิ มีรึเจ้าพ่อจะอยู่นิ่งเฉย
ได้ทำความรู้จักกันมาก็หลายภาค ไปร่วมกับซูเปอร์ฮีโร่อื่นๆ กู้โลกก็เคย ก่อนจะกลับมาสู่เรื่องราวของตัวเอง กลับมาคราวนี้ ฮีโร่ของเราเขากลายเป็นพวกหมกมุ่นไปเสียแล้ว แต่มันยังคงเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มาครบรสทั้งสนุก ฮา และติดซึ้งๆ นิดหน่อยด้วย “Iron Man 3″ ครับ
หลังจากภาคแรก - Iron Man ภาคสอง - Iron Man 2 ที่จบไป ก็ผ่านมาถึง The Avengers ร่วมกันสู้กับเหล่าร้ายไปได้สักพัก ก็ได้เวลาของ ไอรอนแมน (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) โชว์เดี่ยวอีกครั้ง คราวนี้ คนเขียนบทสร้างให้ไอรอนแมนกลายเป็นพวกที่มีอาการเครียดและหมกมุ่น ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน คิดค้นประดิษฐ์โน่นนี่นั่นไม่หยุดหย่อน จนทำให้หวานใจอย่าง เพ็พเพอร์ พ็อตต์ส (กวินเน็ต พัลโทรว์) ชักจะมีงอนๆ ขึ้นมาบ้างละ
มูลเหตุสำคัญของอาการของ โทนี่ สตาร์ก ก็เพราะเหตุการณ์ครั้งสำคัญในภาค The Avengers นั่นเอง ลองกลับไปหาชมดูนะครับ
ในภาคนี้ เราได้เห็นมากขึ้นว่า ต่อให้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ต่อสู้กับคนชั่วเพื่อปกป้องคนบนโลกไว้มากมาย แต่คนดีๆ ที่อยู่ข้างกายก็ยังเป็นคนที่เขาแสนแคร์ ไอรอนแมนทุ่มเทเวลาหมดไปกับการสร้างเกราะเหล็กขึ้นมาหลายต่อหลายรุ่น แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งที่ตนเคยทำไว้ในอดีตนั้นได้ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอีกหน แมนดาริน (เบน คิงสลีย์) คือวายร้ายตัวใหม่ที่ดูจะมีความไม่ปกติทางจิตหน่อยๆ
ซึ่งนั่นทำให้มันกลายเป็นวายร้ายที่น่ากลัวกว่าวายร้ายทั่วไปอยู่ประมาณนึงนะ ว่ามะ?
ในภาคนี้ โทนี่ของเราก็ยังคงมีเพื่อนสนิทในกองทัพคนเดิม เจมส์ โร้ดส์ (ดอน ชีเดิล) ซึ่งในภาคนี้ ผมว่าชีเดิลค่อนข้างทำหน้าที่ได้สมกับเป็นเพื่อนพระเอกมากกว่าภาคก่อน (ที่เพิ่งมาประจำการตัวละครนี้แทน เทอร์เรนซ์ ฮาว์เวิร์ด ในภาคสอง) น่าจะด้วยบทที่ส่งเสริมมากขึ้น การเป็นไอรอนแพทริออทมีส่วนช่วยให้พระเอกของเราทำภารกิจได้สัมฤทธิ์ผลอย่างมีนัยสำคัญเลยแหละ ขณะที่อีกตัว อัลดริช คิลเลียน (กาย เพียร์ซ) ก็นับว่าสำคัญต่อเนื้อเรื่องไม่แพ้กัน เพียงแค่ไม่ถูกพูดถึงในตัวอย่างเท่านั้นเอง
ภาคนี้ เชน แบล็ก กำกับฯ ส่วน จอน แฟฟโร ขึ้นแท่นไปเป็นผู้อำนวยการสร้างแต่ก็ยังมาร่วมแสดงเป็น แฮปปี้ โฮแกน อยู่เช่นเคย
“Iron Man 3″ ยังคงความเป็นหนังซูเปอร์ซีโร่ที่มาพร้อมกับมุขตลกขำขันในแบบของไอรอนแมนเหมือนเช่นเคย เท่านั้นยังไม่พอ หนังยังจัดเต็มด้วยบทที่ลึกขึ้น และการดำเนินเรื่องที่พลิกกลับไปกลับมา แม้จะไม่ได้เดาทางยากมากนัก แต่ก็เป็นเซอร์ไพรส์ที่ไม่เซอร์ไพรส์ที่ทำให้คนดูสนุกในการลุ้นได้อยู่หมัด บางฉากที่เห็นในตัวอย่าง เมื่อมาดูกันยาวๆ ก็นับว่า สร้างอาการลุ้นได้มากกว่าเยอะ แถมช่วงท้ายนี่ ลุ้นกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้หายใจหายคอกันเลยเชียว การมีเกราะไอร่อนแมนจำนวนมากนี่ ทำให้มันเป็นสีสันที่ใหม่ไม่เคยเห็นที่ไหน น่าตื่นตามากๆ ในช่วงนั้น
ผสานเข้ากับเพลงประกอบที่เลือกเอาเพลงโดนใจในอดีตมาประกอบไว้อยู่หลายเพลง สร้างความประทับใจได้เหมือนกับที่หนังซอมบี้อย่าง “Warm Bodies” เคยทำได้มาแล้ว ขณะที่สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ วิชวลเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ก็ทำได้ดีแทบไม่มีที่ติ แต่ถ้าจะสนใจเรื่อง 3 มิติ เท่าที่ดูมาพบว่า ยังไม่ได้มีฉากโชว์สักเท่าไหร่ ไม่จำเป็นนักที่จะต้องดู 3D ดูในระดับดิจิตอลเฉยๆ ก็โอละ
องค์ประกอบโดยรวมของ “Iron Man 3″ นั้นนับว่า เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดูสนุก มีมุขแทรกมาเยอะ มีแอ็คชั่นมันๆ มีไดอะล็อกโดนๆ ให้อึ้งกัน แถมยังมีช็อตซึ้งให้น้ำตาปริ่มกันด้วยนะ ใครไปชมในโรง อย่าลุกจากที่นั่งจนกว่าจะจบเครดิตตัวสุดท้าย ฟังเพลงที่สุดเจ๋งพร้อมอ่านชื่อทีมงานกันไปพลางๆ เพราะหลังจากนั้น มีฉากที่ซ่อนอยู่ด้วยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!
หลังจากดูแล้ว รับรองได้ว่า โรงหนังเทใจให้ “Iron Man 3″ อย่างแน่นอนครับ
Credit: PatSonic ( http://www.patsonic.com/movie/iron-man-3/ )