วิจารณ์หนัง Star Trek Into Darkness
และแล้วก็ถึงเวลาที่รอคอย กับการได้ชมภาพยนตร์ไซไฟเรื่องดัง “Star Trek Into Darkness” รอบสื่อฯ และยิ่งสมใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้รู้ว่าจะได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรง IMAX
มันเป็นภาพยนตร์ภาคต่อของ Star Trek ภาคก่อนที่ทุกอย่างเริ่มรีบูทกันใหม่โดยเจ้าพ่อหนังไซไฟคนเก่ง เจเจ อับรามส์ ที่นำการท่องจักรวาลของสตาร์เทรคให้กลับมาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม(ดิจิตอล)อีก ครั้ง มันมีประวัติอันยาวนานเพราะมีการสร้างทั้งซีรี่ส์ที่ฉายทางทีวี และฉบับหนังใหญ่มาหลายต่อภาค แม้แฟนมหากาพย์ไซไฟแฟนตาซีเรื่องนี้ในไทยอาจจะไม่มากมายนักก็ตาม
วิจารณ์หนัง สตาร์ เทรค ทะยานสู่ห้วงมืด
ถ้าจะบอกว่า ในกระบวนหนังไซไฟที่เข้าไทยตั้งแต่ต้นปี 2556 ที่ผ่านมานี้ พอดูเรื่องนี้จบก็รู้สึกได้ทันทีว่า นี่คือหนังไซไฟที่ครบเครื่องต้มยำที่สุด ก็คงจะไม่เป็นการกล่าวที่เกินเลยอะไรไปนัก
เมื่อกัปตันหนุ่มไฟแรงอย่าง เจมส์ ที. เคิร์ก (คริส ไพน์) ผู้ชอบแหกกฏที่มักเห็นไม่ตรงกันกับต้นเรือคู่ใจ สป็อค (แซคารี ควินโต) ชาววัลแคนผู้ไม่เคยโกหก มีศีลธรรมและซื่อตรงต่อมัน แม้ภายนอกจะขัดแย้งกันอยู่บ้าง แต่ข้างในนั้น พวกเขายังคงเชื่อใจกันและกัน หากแต่ความคิดที่ไม่ลงรอยกัน ทำให้บทมันส่งไปถึงอีกช่วงของหนังได้อย่างมีพลัง
ความชอบแหกกฎ(ที่แม้จะมีเหตุผลรองรับ)ทำให้เขาต้องถูกลดตำแหน่ง แต่สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เขาได้กลับมารับหน้าที่เดิมบนยานและกับลูกเรือที่เขารัก ภารกิจที่เขาเชื่อมั่น แต่ทว่า ไม่ค่อยมีใครจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่นัก ยานสำรวจเอนเตอร์ไพรส์จึงได้โอกาสท่องอวกาศด้วยความเร็วสูงอีกครั้งเพื่อปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ง่ายเหมือนเช่นเคยนั่นแหละ…
พวกเขาดำดิ่งสู่ความดำมืดของห้วงจักรวาล และความดำมืดภายในจิตใจของมนุษย์ ไม่ว่าจะภายในจิตใจของพวกเขาเองหรือของคนอื่นๆ เรื่องราวที่แสนกดดัน และไม่รู้ว่าควรจะเลือกตัดสินใจแก้ไขปัญหาตรงหน้าเช่นใดกันดี
ในภาคนี้ มีตัวร้ายเป็นคนใน เขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับพระกาฬที่หาญขึ้นมาเป็นผู้ร้ายเสียเอง เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ สวมบทบาทนั้นได้อย่างน่าชื่นชม เขาทำให้ทุกคนบนยานลำนั้นได้พบกับ “คำตอบ” ที่เขาอาจไม่รู้ตัวว่าได้ตามหาอยู่ ทั้งคนดูก็คงจะได้เรียนรู้-เข้าใจ-ได้คำตอบนั้นไปพร้อมๆ กัน
นี่คือหนังแอ็คชั่นไซไฟเรื่องเยี่ยมที่ผูกปมกันมาได้ดี เพราะตัวละครทุกตัวไม่ว่าจะออกมากหรือออกน้อย ต่างก็มีบทบาทของตัวเองที่จะพาให้เรื่องราวนั้นขับเคลื่อนไป บทและการตัดต่อที่กดดันทำให้เราลุ้นและอินในบทบาทตัวละครจนไม่อาจจะเดาไปถึงเรื่องราวข้างหน้าได้ว่าจะดำเนินไปในรูปแบบใด ผสานไปกับดนตรีประกอบที่เร่งเร้า เคล้าไปกับภาพที่สวยสดงดงามมีมิติ (แม้จะไม่ได้ถ่ายทำด้วยกล้อง 3D แต่แปลงเอาทีหลังก็ตาม) พร้อมด้วยมุมมองภาพที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนผจญกับทุกอย่างด้วยตัวเราเอง มันยิ่งกลายเป็นความตื่นตาที่น่าประทับใจ จนไม่รู้จะติตรงไหนของหนังเลยเชียว
“Star Trek Into Darkness” หรือ “สตาร์ เทรค ทะยานสู่ห้วงมืด” ได้รับเรท น13+ ในประเทศไทย เหมาะสมมากที่จะดูแบบดิจิตอล 3 มิติ เพราะสิ่งที่เห็น เหมือนเขาตั้งใจจะเล่นกับการรับรู้ทางสายตาของคนดูมากทีเดียว ยิ่งชมในแบบ IMAX 3D ก็น่าจะยิ่งได้รับประสบการณ์สุดยอด เพราะคุณจะรู้สึกเหมือนถูกโยนให้ลอยไปด้วยจริงๆ กับตัวละคร โดนสาดใสกระสุน เหาะ หล่น เหมือนกับที่ตัวละครกระทำ ต้องบอกว่า J.J. Abrams และทีมงานเขาเอาอยู่จริง ทำหนังสตาร์เทร็คที่มีกลิ่นในแบบสตาร์วอร์สปรากฏอยู่จางๆ เสียด้วย
คงจะเป็นเรื่องยากมากที่จะห้ามใจไม่ชื่นชมสตาร์เทรคภาคนี้ได้ ทั้งงานภาพ เสียง บท การแสดง และการดำเนินเรื่อง สนุกตื่นเต้นลึกซึ้งยอดเยี่ยมด้วยประการทั้งปวง ดูๆ ไปแล้ว “Star Trek” ยังมีทางไปได้ต่ออีกยาว
แค่สองภาคยังสนุกขนาดนี้ คงน่าเสียดายถ้าภาคต่อไป จะไม่มี J.J. Abrams มากำกับฯ ซะแล้ว!
Credit: PatSonic ( http://www.patsonic.com/movie/star-trek-into-darkness/ )