วิจารณ์หนัง After Earth
ได้เวลาเข้าโรงเปิดฉายกันแล้ว หลังจากได้ชมหนังตัวอย่างกันมาเสียนานสองนาน กับภาพยนตร์เรื่องล่าสุด จากผลงานการกำกับของ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน และผลงานการแสดงของ 2 พ่อลูกตระกูลสมิธ ใน "After Earth" หรือ "สยองโลกร้างปี" เรื่องราวของโลกในอนาคตที่กลายเป็นดาวเคราะห์ที่เป็นอันตรายต่อมวลมนุษย์
ในระยะหลังๆ ผลงานของ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน มักจะไม่ค่อยได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์สักเท่าไรนัก แม้กระทั่งผู้ชมทั่วไปก็ตาม ซึ่งจะผิดจากช่วงแรกๆ ที่ได้รู้จักกับผู้กำกับฯ คนนี้ ที่มักได้เสียงตอบรับอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น The Sixth Sense, Signs, Unbreakable ขณะที่งานหลังๆ อย่าง Lady in the Water หรือ The Last Airbender ได้เสียงต้อนรับค่อนข้างไปในทางลบเสียส่วนใหญ่
แต่ผู้กำกับฯ คนนี้ ก็ได้โปรเจ็กต์หนังระดับบิ๊กๆ อยู่เรื่อยๆ หลัง The Last Airbender ในปี 2010 ก็มาถึงหนังที่ใช้ทุนไป 130 ล้านเหรียญอย่าง After Earth ในปี 2013 หนังเรื่องนี้มีต้นเรื่องมาจาก วิล สมิธ ก่อนจะถูกพัฒนาบทโดย Gary Whitta และผู้กำกับฯ หนังดำเนินเรื่องโดย 2 ตัวละครหลักพ่อลูกที่แสดงโดย วิล และลูกชาย เจเด้น สมิธ
ในวันที่มนุษย์และโลกนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงจนไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์ พวกเขาถึงหาทางโยกย้ายตัวเองไปอยู่ดาวอื่น นานแสนนาน ไกลแสนไกล จนอาจลืมไปแล้วว่าเคยอยู่บนโลกมาก่อน บนโลกใบใหม่ก็ใช่ว่ามนุษย์จะไม่เจออุปสรรค บนดาวเคราะห์แห่งนั้น มันก็มีภัยจากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ และมีมนุษย์ที่ถูกฝึกให้เป็น “เรนเจอร์” ซึ่งมีความสามาถในการจัดการดังกล่าวได้ และ ไซเฟอร์ เร้จ (วิล สมิธ) ก็คือหนึ่งในนั้น
แต่ภารกิจของพ่อเป็นสิ่งที่เร้จพบว่า ช่างยากลำบาก การสูญเสียพี่สาวของ คีไท เร้จ (เจเด้น สมิธ) ทำให้เขาเลือกที่จะโทษตัวเอง และพยายามจะเดินตามรอยให้ได้อย่างพ่อที่ไม่เคยอยู่ใกล้เขา ความไม่ลงรอยกันของพ่อกับลูกมันมาถึง “จุดเปลี่ยน” เมื่อพ่อเลือกจะใกล้ชิดลูกมากขึ้นด้วยการพาเขาเดินทางไปกับยานในภารกิจสุดท้ายของตัวพ่อเอง แต่ทุกอย่างกลับพลิกผัน เกิดอุบัติเหตุยานเสียหาย
ต้องลงจอดอย่างช่วยไม่ได้ แต่ยานก็เสียสมดุลพังยับไม่เป็นท่าบน “ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง”
มันคือ “โลก” นั่นเอง แต่เป็นโลกในยุค 1000 ปีในอนาคตที่ไม่มีมนุษย์เหลืออยู่แล้ว ทุกอย่างได้วิวัฒนาการไปโดยที่ไม่มีพวกเรา มันได้ถูกระบุว่าเป็นดาวต้องห้ามสูงสุด และที่สำคัญ ยานลงจอดอย่างทุลักทุเลนั้น มีสัตว์ร้ายที่หลุดรอดไปด้วย สัตว์ประหลาดที่ไม่มีตาจะมองเห็น แต่รับรู้ได้จากความกลัวของสิ่งมีชีวิตอื่น
หนังดำเนินเรื่องผ่านการสื่อสารของสองพ่อลูกที่มี “รอยต่อ” ต่อกัน ยาวนานทีเดียวที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบนิ่ง ไร้ชั้นเชิง ไม่มีจุดให้รู้สึกลุ้นและตื่นเต้นให้มากนัก ภารกิจการเดินป่าหาซากยานของลูก ผ่านการมองเห็นของพ่อในยานเป็นไปอย่างทื่อๆ แม้ไม่ถึงกับง่วง แต่ไม่อาจสร้างอารมณ์ลุ้นให้ได้กับคนดูอย่างผมได้มากพอ และเหตุการณ์บางเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นเหมือนต้องการจะเซอร์ไพรส์คนดู แต่กลับไม่มีคำอธิบายใดๆ จะบอกว่า “ทำไม” ปล่อยให้มันค้างอยู่ในใจเสียอย่างนั้น
ช่วงสุดท้ายของหนังเพิ่มความตื่นเต้นขึ้นมาได้หน่อย ก่อนจะจบลงไปอย่างคาดเดาได้ไม่ยาก ส่วนที่ผมชอบในหนัง “After Earth” คงเป็นเรื่องงานดนตรีประกอบที่ออกแนวนิวเอจสไตล์ป่าๆ กับงานออกแบบที่ดูแปลกตาแม้ว่าจะดูไม่อนาคตสักเท่าไหร่ แต่ทุกอย่างดูจะมีสไตล์ที่ไปในทางเดียวกันหมด ขณะที่ด้านสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กต์ ถือว่าทำได้โอเค ชอบไอเดียของชุดแนบเนื้อที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เปลี่ยนสีได้ตามสภาวะการณ์ภายนอก ด้านการแสดงของสองพ่อลูกที่กินไปเกือบทั้งเรื่อง ก็นับได้ว่าค่อนข้างดี เพราะเคมีของพ่อกับลูกนั้นมีอยู่แล้วแม้ไม่ได้แสดง
สุดท้ายแล้ว วลีที่ดูจะจับใจได้ประมาณหนึ่งในหนังที่มันสอนใจเราได้ เหมือนอย่างที่พ่อสอนลูก
“ความกลัวไม่ใช่ของจริง มันเป็นผลลัพธ์จากความคิดที่เราสร้างขึ้น แต่อย่าเข้าใจผิดไป อันตราย คือ ของจริง ส่วนความกลัว เราเลือกได้”
เครดิต : PatSonic ( http://www.patsonic.com/movie/after-earth/ )