พิเศษ! บทสัมภาษณ์ นักแสดงนำ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ของ Man of Steel - Part II
บทสัมภาษณ์ เฮนรี คาวิลล์ (คลาร์ก เคนต์/ ซูเปอร์แมน), เอมี อดัมส์ (โลอิส เลน),
ไมเคิล แชนนอน (นายพลซอด), อานต์เยอ ทรอ (ฟาโอรา), ไดแอน เลน (มาร์ธา เคนต์), รัสเซลล์ โครว์ (จอร์-เอล),
แซ็ค สไนเดอร์ (ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง), ชาร์ลส์ โรเวน (ผู้อำนวยการสร้าง), เดโบราห์ สไนเดอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง), เดวิด เอส. โกเยอร์ (ผู้เขียนบท),
ฮานส์ ซิมเมอร์ (ผู้ประพันธ์ดนตรี)
อ่านบทสัมภาษณ์ส่วนแรก....คลิกที่นี่ครับ
คำถาม: สำหรับแซ็คและเดวิด ความสวยงามอย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากการเล่าเรื่องที่ไม่เป็นเส้นตรง คุณช่วยพูดได้ไหมว่าคุณได้ความคิดนี้มาตอนไหนและคุณตัดสินใจอย่างไรจึงได้เลือกใช้วิธีนี้
เดวิด โกเยอร์: โดยปกติในการสร้างเรื่องราวที่ไม่เป็นเส้นตรง คุณจะต้องเริ่มจากเรื่องที่เป็นเส้นตรงก่อน เพื่อให้แน่ใจว่ามันสมเหตุสมผล จากนั้นจึงหั่นมันออกเป็นช่วงๆ และนำมาสลับสับเปลี่ยนกัน นั่นเป็นกระบวนการที่เราเริ่มทำตอนที่แซ็คเข้ามา และบางส่วนก็มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างกระบวนการทำงาน
แซ็ค สไนเดอร์: ผมว่ามันเป็นวิธีการมองที่ดีเมื่อคุณอยู่กับคลาร์กและเขาก็เดินทางไปเรื่อยๆ เหมือนคุณค่อยๆ เข้าถึง ‘เหตุผล’ ในความเป็นตัวเขา ผมว่ามันสนุกที่ได้ทำให้เห็นว่าเวลาเขาต้องตัดสินใจ คุณจะได้เข้าใจ ‘เหตุผล’ ว่าทำไมเขาจึงตัดสินใจอย่างนั้น ผมคิดว่าการนำเสนอแบบนั้นช่วยให้เรื่องราวมีแรงส่งต่อไปเรื่อยๆ แล้วคุณก็ได้เข้าถึงเบื้องลึกของผู้ชายคนนี้ในแง่ที่ผมมองว่าน่าสนใจด้วย มันเสริมตัวหนังให้ออกมาน่าสนุกมาก
เดวิด โกเยอร์: ใช่แล้ว และมันก็น่าติดตามด้วยเวลาที่เรากระโดดข้ามจากฉากยานตกในแคนซัส แล้วทันใดนั้นอีกสามสิบสามปีต่อมาเขาก็มาอยู่บนเรือหาปู มันเล่นกับความคาดหวังของคนด้วยนะผมว่า
คำถาม: สำหรับเดโบราห์และชัค เราพูดถึงเรื่องเด็กทารกมาแล้ว หนังเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนลูกของคุณ คุณช่วยปลุกชีวิตให้เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ด้วยประวัติยาวนานถึง 75 ปีได้อย่างไร คุณดูแลมันอย่างไรและทำอย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่าคุณยังคงรักษาวิสัยทัศน์ที่คุณมีต่อโครงการ
เดโบราห์ สไนเดอร์: ฉันว่าเมื่อคุณนึกถึงความยิ่งใหญ่ของตัวละครนี้ ความสำคัญ และความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่ตามมา คุณก็อาจทำอะไรไม่ถูกไปเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฉันต้องทำคือการแยกส่วนมันออกมาทีละชิ้นๆ แล้วมองเป็นกระบวนการ ฉันหมายความว่าช่วงแรกเป็นเรื่องของการวางโครงเรื่องให้ดี และโดยแก่นแท้แล้วฉันคิดว่าซูเปอร์แมนอยู่มาได้ 75 ปีก็เพราะตัวเรื่อง จากนั้นจึงเป็นการดูแลงานที่ต้องทำในแต่ละวัน และการเลือกหาคนที่เหมาะสมในการสร้างวิสัยทัศน์ของแซ็คให้เป็นจริงขึ้นมา รวมถึงการคัดนักแสดงที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ คนที่สามารถสร้างตัวละครให้มีชีวิตขึ้นมา การเลือกผู้ประพันธ์เพื่อให้ดนตรีมีพลังและสื่ออารมณ์อย่างที่ควรจะเป็น ฉันคิดว่าคุณต้องมองมันในแบบวันต่อวันและชิ้นต่อชิ้น
ชาร์ลส์ โรเวน: หลายสิ่งที่เด็บบีพูดตรงกับผมเช่นกัน ผมโชคดีที่ตอนได้รับการขอให้มาเข้าร่วมโครงการนั้นมีร่างบทอยู่ก่อนแล้ว และผมก็ตื่นเต้นกับศักยภาพของมันมาก ตื่นเต้นเพราะความท้าทาย แล้วก็กลัวเล็กน้อยเพราะความท้าทายนั้น แต่ความกลัวก็ทำให้โครงการนี้ควรค่าแก่การเข้ามาร่วมงาน และเราโชคดีจริงๆ ที่ทุกคนมองภาพไปในทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่เราต้องการ อะไรแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งไป และวิสัยทัศน์ที่เราเดินตามซึ่งโดยรวมแล้วเป็นของแซ็คก็สอดคล้องไปกับภาพที่ทีมงานทุกคนมองเห็น
เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นกระบวนการทำงานที่ดีมาก แม้ว่าเราต้องใช้เวลาในการถ่ายทำนานหลายวัน เกือบสามเท่าของการถ่ายทำปกติ ส่วนกระบวนการโพสต์โพรดักชัน ด้วยเรื่องวิชวลเอฟเฟ็กต์ ก็ทำให้ต้องใช้เวลาเพิ่มอีกมาก มันไม่สำคัญหรอกว่าหนังเรื่องนี้ใช้เงินมากแค่ไหน คุณไม่เคยคิดว่าจะมีเงินมากพอให้ทำทุกอย่างได้สำเร็จอยู่แล้ว แต่มันก็ยังเป็นประสบการณ์ที่รื่นรมย์มากสำหรับผม เพราะไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราทุกคนมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน
คำถาม: เคยบ้างไหมที่คุณอ่านบทแล้วคิดว่า ‘เราจะทำฉากนี้ออกมายังไงเนี่ย’ แล้วพอทำได้ก็คิดว่า ‘ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราทำมันออกมาได้’
ชาร์ลส์ โรเวน: ตลอดเวลาเลยล่ะ
เดโบราห์ สไนเดอร์: ฉันคิดว่าสำหรับวิชวลเอฟเฟ็กต์ ทั้งฉากแอ็คชัน ฉากต่อสู้ และฉากบินที่แซ็คจินตนาการไว้และทำงานร่วมกับดีเจ [เดส์ชาร์แดง] ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ และดามอน [คาโร] ผู้ออกแบบคิวบู๊และผู้ประสานงานสตันท์ ฉากพวกนั้นมันท้าทายและผลักดันขีดจำกัดมากอยู่แล้ว มันอาศัยรากฐานจากสิ่งที่เราเคยทำในอดีตแต่ผลักดันไปไกลกว่านั้นอีก คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งที่ทำ เพราะคุณเริ่มด้วยการวางแผนเอาไว้ว่าจะทำออกมาอย่างไร จากนั้นก็ก้าวไปตามแผน แต่คุณไม่รู้แน่ว่ามันจะนำไปสู่จุดไหน คุณต้องพึ่งพาศิลปินและบริษัทวิชวลเอฟเฟ็กต์เก่งๆ ให้ทำมันออกมา คุณต้องศรัทธาในตัวพวกเขาด้วย
คำถาม: เฮนรี คุณช่วยไขความกระจ่างเรื่องที่คนเถียงกันในอินเตอร์เน็ตว่าซูเปอร์แมนโกนหนวดอย่างไรได้หรือเปล่า คุณเห็นคลิปนั้นหรือยัง
เฮนรี คาวิลล์: เห็นแล้วครับ ผมว่าบางอย่างปล่อยให้เป็นความลับไปจะดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นจะให้คนทำอะไรกันล่ะถ้าไม่พูดเรื่องลึกลับพวกนี้
คำถาม: กลับมาเรื่องจริงจังกันบ้าง มีประโยคที่จอร์-เอลพูดในหนังว่า ‘คุณต้องให้ความหวังพวกเขา’ ฮาร์วีย์ มิลค์ [ผู้เสนอกฎหมายและเรียกร้องสิทธิของกลุ่มรักร่วมเพศ] ก็เคยพูดไว้เช่นกันว่า ‘คุณต้องให้ความหวังพวกเขา’ และผมรู้สึกว่าตัวละครอย่างซูเปอร์แมนเป็นการสื่อสารถึงคนนอก ถึงเด็กที่ไม่เข้ากับสังคม หรือคนที่ถูกแยกออกไปไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม และผมชอบการเชื่อมโยงในส่วนนี้มาก
เฮนรี คาวิลล์: ใช่แล้ว แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะต้องสื่อสารถึงคนนอกเท่านั้นนะ เขาพูดกับทุกคน หรือแนวคิดนี้พูดกับทุกคนก็ว่าได้ เราทุกคนต้องการความหวัง ไม่ว่าเราจะอยู่ในศตวรรษไหน ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิต ไม่ว่าเรากำลังเผชิญกับโศกนาฏกรรมอยู่หรือไม่ เราต้องการแค่ความหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียบร้อยดี และถ้ามีโศกนาฏกรรมและหายนะเกิดขึ้น เราก็ต้องการความหวังว่าเราจะฝ่าฟันมันไปได้ ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้สื่อสารเฉพาะกับคนนอกและคนที่อยู่ตามลำพังเท่านั้น แต่เป็นการพูดกับทุกคน
คำถาม: แซ็ค คุณร่ายมนตร์อะไรถึงได้งานนี้มา คุณนำเสนอวิสัยทัศน์แบบไหน และเกิดอะไรขึ้นบ้างในการสร้างหนังเรื่องนี้ให้สำเร็จขึ้นมาได้
แซ็ค สไนเดอร์: ที่จริงผมไม่รู้เหมือนกัน ผมกับเด็บบีกินอาหารกลางวันกับคริส [โนแลน] และเอ็มมา [โธมัส] แล้วเราก็คุยกันถึงโครงการซูเปอร์แมน ผมจำได้ว่าที่จริงตอนแรกที่เรานัดพบกัน เราพูดกันประมาณว่า ‘นี่ กินข้าวกลางวันกันไหม แล้วถ้าเราคุยกันเรื่องซูเปอร์แมน จะแปลกรึเปล่า’ แล้วเราก็คิดว่า ‘ได้เลย ไม่แปลกหรอก ซูเปอร์แมนเจ๋งอยู่แล้ว’
พูดตามตรงผมกังวลเรื่องซูเปอร์แมนนะในแง่การทำหนัง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ผมสนใจ ขณะเดียวกันผมก็กลัวด้วยเพราะซูเปอร์แมนก็คือซูเปอร์แมน แล้วตอนนั้นมันก็ดูเป็นงานที่ใหญ่มาก ถึงผมจะพูดได้ว่าหลังอ่านบทของเดวิดและคุยกับคริสแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลในเรื่องบทหรือเรื่องแนวคิดเลย แนวคิดมีความตรงไปตรงมาและมีความเชื่อมั่นมาก ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเกิดความเชื่อมั่นเหมือนกัน มันทำให้ผมรู้สึกว่า ‘โอเค มีบางอย่างในนั้นที่เราสนใจ และเราคงต้องทิ้งความกลัวตัวละครต้นแบบนี้ไปซะ’ เพราะผมชอบซูเปอร์แมนมากในฐานะตัวละครและติดตามเขามาตลอดหลายปี ผมกลัวก็เพราะผมให้เกียรติต่อความเป็นตัวละครนี้และศักยภาพที่เขามี ผมว่าเดวิดทำงานได้เยี่ยมมากในการเขียนบท มันปรากฏให้เห็นในตัวงานและเราก็ต้องเดินตามมันไป
เพราะฉะนั้นผมคิดว่าวิสัยทัศน์ที่ผมมองก็คือมันจะต้องเป็นหนังซูเปอร์แมนแบบไม่เกรงใจใครที่เราอยากทำแต่ไม่มีใครทำมาก่อน ในระยะหลังผมมักรู้สึกเสมอว่าคนพยายามประนีประนอมมากไปหน่อยในการเสนอภาพซูเปอร์แมน ทั้งในแง่การแต่งกาย ความเป็นมาของเขา หรือวิธีการที่เขากลมกลืนไปกับสังคม เราแค่อยากพูดว่า ‘ไม่ใช่นะ นี่คือตำนาน นี่คือสิ่งที่มันเป็น มันควรเป็นอย่างนี้’ ผมว่านี่ล่ะเป็นหนังแบบที่เราสร้างขึ้นมา เราต้องการยกย่องเขาให้ขึ้นไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ และไม่ว่าการทำอย่างนั้นจะเป็นการสร้างความสำคัญมากเกินไปหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้ แต่นั่นเป็นสิ่งที่เราอยากทำ มันจึงเป็นความสนุกที่ได้ทำหนังเรื่องนี้ออกมา
คำถาม: ดนตรีในหนังเรื่องนี้เยี่ยมมาก
แซ็ค สไนเดอร์: ขอบคุณครับ ผมทำงานหนักมากเลย อ้าว ไม่ใช่ผมนี่... [หัวเราะ]
คำถาม: แซ็คและฮานส์ช่วยพูดถึงการร่วมงานกันในการทำดนตรีประกอบให้หนังเรื่องนี้ได้ไหมครับ
แซ็ค สไนเดอร์: ได้เลยครับ วันหนึ่งผมหยิบกีตาร์มาแล้วทุบมันทิ้งเพราะเล่นไม่เป็น อ้อ ไม่ใช่ สิ่งเดียวที่ผมจะพูดก่อนปล่อยให้ฮานส์พูดคือเมื่อเราประกาศว่าจะทำหนังเรื่องนี้ เวลาคุยโทรศัพท์แล้วคุณคิดว่าจะได้คุยเรื่องประมาณว่า ‘อ้อ คุณทำหนังซูเปอร์แมนอยู่เหรอ เยี่ยมเลย คุณจะทำมันออกมาแบบไหนล่ะ’ อะไรทำนองนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า ‘คุณจะใช้ดนตรีจากภาคก่อนหรือเปล่า จะใช้ของจอห์น วิลเลียมส์หรือเปล่า’ แล้วผมก็ตอบประมาณว่า ‘ให้ตายเถอะ เรายังไม่ได้ถ่ายซักเฟรมเลย ผมไม่รู้หรอก’
เรารู้ว่ามีดนตรีประกอบอยู่แล้วและมันเป็นงานที่โดดเด่นมาก แต่ปรัชญาของเราคือเราต้องการทำให้เหมือนกับว่าไม่เคยมีการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อนเลย เราอยากทำเหมือนกับว่าเราพบหนังสือคอมิกอยู่ใต้เตียงแล้วก็พูดขึ้นมาว่า ‘เอ้อ นี่น่าจะเป็นหนังที่ดีได้นะ เราน่าจะนำซูเปอร์แมนมาทำเป็นหนัง’ เพราะเราใช้มุมมองแบบนั้น จึงไม่มีการคัดเอาองค์ประกอบจากผลงานก่อนหน้ามาใช้ เราจะไม่พูดว่า ‘น่าจะดีนะถ้าเราายืมสองสามอย่างมาจากตรงนี้’ ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากศูนย์หมด
เราพูดกันแต่แรกแล้วว่า ‘คริส เวลาคุณไปคุยกับฮานส์เรื่องหนังอีกเรื่องหนึ่งน่ะ คุณช่วยบิดแขนหรือติดสินบนให้เขามาทำหนังซูเปอร์แมนด้วยได้ไหม’ ผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคริสพูดอะไร แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร เขาก็ตอบตกลง [หัวเราะ]
ฮานส์ ซิมเมอร์: ที่จริงผมเป็นเจ้าสาวที่เล่นตัวเหมือนกันนะ เพราะไม่เหมือนรัสเซลล์ ผมเคยดูหนังซูเปอร์แมนภาคอื่นมาแล้ว และคิดว่าดนตรีของจอห์น วิลเลียมส์นั้นเยี่ยมมาก ดังนั้นมีบางสิ่งที่เกิดขึ้น ใช่ คริสพูดกับผมว่า ‘เอาน่า คุณทำหนังซูเปอร์แมนได้’ ผมก็ได้แต่พูดว่า ‘ไม่ได้หรอก ผมทำหนังซูเปอร์แมนไม่ได้ เพราะสิ่งที่ต่างกันเลยก็คือ ตอนคุณเดินเข้าไปที่ Warner Bros. พร้อมแนวคิดเรื่องหนังซูเปอร์แมน คุณน่ะมีแนวคิดอยู่ แต่ผมไม่มีอะไรเลย’
จากนั้นแซ็คกับผมก็เริ่มคุยกันและมันกลายเป็นวิสัยทัศน์ของแซ็คทั้งหมดเลย เหตุผลเดียวที่มีดนตรีประกอบขึ้นมาได้ก็เพราะเขาเหมือนกับว่าจูงมือผมไปแล้วบอกว่า ‘นี่คือสิ่งที่ผมอยากทำ’ แล้วผมก็ตอบว่า ‘อืม ผมรู้สึกได้’ และอีกเรื่องหนึ่งคือเขาเป็นศิลปินที่เก่งมาก เขาขีดเขียน เขาวาดรูป ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ดีมากสำหรับผม และเดวิด ผมว่าคุณคงยกโทษให้ผมเรื่องนี้นะ เพราะผมเริ่มทำงานนี้โดยพูดว่า ‘ผมไม่อยากอ่านบท เล่าเรื่องมาเลย’
เดวิด โกเยอร์: แซ็คกับผมก็เริ่มกันอย่างนั้นแหละ เราวาดรูปกัน
ฮานส์ ซิมเมอร์: เพราะตอนนั้นผมรู้แล้วว่าอะไรอยู่ในหัวของเขา และเรารู้อยู่อย่างหนึ่ง สิ่งนั้นก็คือผมรู้ว่าการเป็นคนต่างประเทศรู้สึกอย่างไร ผมรู้ว่าการเป็นคนนอกรู้สึกอย่างไร ผมไม่ได้มีพลังสุดยอด แต่นอกจากนั้นแล้ว...
เดวิด โกเยอร์: ไม่เอาน่า
ฮานส์ ซิมเมอร์: [หัวเราะ] อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึก ซึ่งผมคิดว่าทั้งแซ็คและผมมองว่าสำคัญก็คือแนวคิดเรื่องความหวัง ความคิดที่ว่าเราต้องการเฉลิมฉลองบางสิ่ง เราเฉลิมฉลองอเมริกาซึ่งไม่ได้รับการพูดถึงอย่างนี้มานานแล้ว และพูดอย่างตรงไปตรงมาจากใจจริง จากนั้นก็มาถึงจุดหนึ่งหลังผัดวันประกันพรุ่งมาสามเดือน แซ็คก็พูดว่า ‘นี่คุณได้อะไรบ้างหรือยัง’ [หัวเราะ] ผมก็ตอบว่า ‘อ่า... ผมมีแผ่นโพสต์อิตที่คุณเอาไปแปะตู้เย็นได้นะ’ เขาตอบว่า ‘ผมชอบโพสต์อิต ผมชอบโน้ตขีดๆ เขียนๆ นี่แหละ ผมจะไปเจอวันอังคารนะ’ จากนั้นเขาก็มาสารภาพว่า ที่จริงแล้วคริสบอกเอาไว้ว่า ‘ถ้าคุณไม่ไปบ้านซิมเมอร์คุณจะไม่มีทางได้ฟังอะไรหรอก’ [หัวเราะ] นั่นล่ะวิธีการที่เราทำดนตรีประกอบกัน
แซ็ค สไนเดอร์: มันตลกดี เพราะสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือมีเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในหนังและดนตรีประกอบก็ช่วยสนับสนุนเหตุการณ์เหล่านั้นได้อย่างดีเยี่ยม แต่สิ่งที่ผมคิดว่าฮานส์ทำได้อย่างน่าทึ่ง และเราพูดถึงเรื่องนี้กันก่อนที่ผมจะได้ฟังตัวดนตรี เราพูดว่า ‘มันคงดีนะถ้าเพลงประกอบของซูเปอร์แมนให้ความรู้สึกอ่อนน้อม ถ้ามีความอ่อนน้อมในเพลงธีมของซูเปอร์แมน ถ้าคุณทำได้นะ’ ซึ่งมันยากมาก มันเป็นเรื่องนามธรรม ผมแค่พูดว่า ‘ความอ่อนน้อม ช่วยทำให้มันเป็นดนตรีหน่อย ไม่ว่ามันจะหมายความว่ายังไงก็เถอะ’ โชคดีนะที่ผมไม่ใช่นักดนตรีเพราะผมคงไม่มีทางทำแบบนั้นกับเขาใช่ไหม ‘โอ้ จะดีมากเลยถ้าเพลงประกอบฟังดูอ่อนน้อม’ ผมคงหัวเราะ แล้วเขาก็อาจจะพูดว่า ‘ตานั่น ผมอยากฆ่าเขาจริงๆ’ แต่คุณก็ได้ฟังแล้ว มันมีสิ่งนั้นอยู่ในดนตรี
เขาบอกว่าเขาไม่มีพลังพิเศษ แต่คุณได้ยินสิ่งนั้นอยู่ ไม่ว่าจะใช้โน้ตกี่ตัวก็ตามแต่ แต่มันมีความอ่อนน้อมอยู่ เหมือนกับพอฟังถึงตรงนั้นแล้วก็รู้สึกได้เลยว่า ‘โอ้ มันฟังดูอ่อนน้อม’ เขาทำให้มันเกิดขึ้นในดนตรีด้วยวิธีการอะไรซักอย่าง
ฮานส์ ซิมเมอร์: ผมมีหลายเรื่องให้รู้สึกอ่อนน้อมและผมก็เล่นเปียโนเอง สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าต้องอ่อนน้อมถ่อมตนก็คือฝีมือการเล่นเปียโนของผม [หัวเราะ] มันแปลกดีเพราะนักเปียโนฝีมือเยี่ยมหลายคนพยายามเล่นเพลงนี้ แต่ฟังดูแล้วมันไม่ใช่ ต้องใช้คนที่เล่นมือขวาไม่เก่งอย่างผมเนี่ย [หัวเราะ]
อ่านบทสัมภาษณ์ส่วนแรก....คลิกที่นี่ครับ
Man of Steel – บุรุษเหล็ก ซูเปอร์แมน
13 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/ManofSteelThailand
# # #
อัลบั้มภาพ 20 ภาพ