บทพิสูจน์ความเป็นซุปตาร์ กว่าจะเป็น "เจมส์ มาร์" ในวันนี้
เดินทางมาถึงเรื่องสุดท้ายแล้ว สำหรับละครซีรี่ย์สุดฮอต "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ" เรื่อง "คุณชายรณพีร์" ที่ตอนนี้เรื่องราวกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นครบรสละคร แถมยังได้เห็นหน้าหนุ่มลูกครึ่งไทย-ฮ่องกง ที่ขโมยหัวใจสาวๆไปทั่วเมืองอย่าง "เจมส์ มาร์" ที่มารับบท "ชายพีร์" น้องคนสุดท้องแห่งวังจุฑาเทพอีกด้วย
วันนี้รายการ "ซุปตาร์ในดวงใจ" ช่องคมชัดลึกทีวี และ หน้าบันเทิงหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ฉกตัวหนุ่มตี๋คนนี้มาให้แฟนๆ ละครได้รู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของเขาคนนี้กัน แบบหมดเปลือก จะเป็นอย่างไรบ้างไปดูกันเลย
“ละครซีรี่ย์ สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายรณพีร์”
พูดถึงการทำงานกับ อีก 4 นักแสดงใน วังจุฑาเทพ แต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าพูดถึงในบรรดาพี่น้องทั้ง 5 คน งั้นขอเริ่มตั้งแต่ พี่เกรท วรินทร ก่อนจะเป็นคนที่แคร์พวกเราและเป็นห่วงเป็นใยตลอด คอยบอกคอยสอนในเรื่องต่างๆ และเขาจะมีวิธีสอนในแบบของพี่เกรท จนพี่บอมเรียกเขาว่า ป๊าป๋า ไปแล้ว ถัดมาเป็น พี่โป๊ป ธนวรรธน์ คนนี้เขาจะบอกตัวเอง และคนอื่นๆเสมอว่าเขาเป็นคนที่หน้าเด็กตลอด และผมคิดว่าเขาก็หน้าเด็กจริงๆ ลุคเขาจะดูเป็นคนอบอุ่น ชอบแกล้งน้องคนอื่นๆ พี่โป๊ปกับเจมส์จิ เขาจะชอบเล่นมุกเข้าขากันได้ดี มาที่ เจมส์ จิรายุ เขาก็จะเป็นคนขี้เล่น ชอบพูดชอบคุย เข้าหาผู้คนได้เก่ง แต่พอเข้าฉาก เขาก็จะสงบนิ่ง และอยู่ในตัวละครทันที ส่วน พี่บอม ธนิน เขาเป็นคนที่ตลกนะ แต่เวลาเล่นมุก ก็จะแป๊กตลอด
สำหรับเจมส์ ต้องเรียนอะไรเพิ่มเติมบ้างหรือไม่ในการรับบท คุณชายรณพีร์
หลายอย่างเลย อย่างแรกต้องเรียนคือการแสดงก่อนเป็นอันดับแรก อย่างที่สองก็เป็นเรียนคิวบู๊ และก็เรียนเต้นรำครั้งหนึ่ง เอาไว้เข้าฉากงานเลี้ยง แล้วก็เรียนขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆ ซึ่งผมไม่เคยขี่มาก่อนเลย ซึ่งผมก็ต้องทำให้ได้ และผมก็คิดว่าการได้รับโอกาสมาเล่นละครเรื่องนี้ ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างมาก
คิดว่าในตอน คุณชายรณพีร์ ให้ข้อคิดอะไรกับคนดูบ้าง
ในตอน คุณชายรณพีร์ ผมมองว่าละครเรื่องนี้ ได้สอนอะไรหลายๆอย่างกับคนดูนะ อย่างเช่นเรื่องของความรักเป็นต้น ซึ่งความรักในเรื่องนี้ มันจะต้องมีอุปสรรคต่างๆ เข้ามามากมาย แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดในเรื่องนี้ นั่นคือเรื่องของชนชั้นวรรณะ กับเรื่องความรัก ซึ่งมันเป็นอะไรที่ควรจะแยกแยะให้ออก และที่สำคัญคือการให้เกียรติคนที่เรารัก และคนที่รักเรา
“ก้าวแรกบนเส้นทางบันเทิง”
หลายคนอยากทราบถึงเส้นทางชีวิตของเจมส์ ว่าเข้ามาในวงการบันเทิงได้อย่างไร
อย่างที่หลายคนทราบจากข่าว ว่าผมเคยเข้าประกวดในรายการเดอะสตาร์ ปีที่ 7 ซึ่งตอนนั้นผมต้องบอกก่อนเลยว่า ผมเพิ่งกลับมาจากฮ่องกงหมาดๆ แล้ว พี่เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร ก็ได้มาเจอ แล้วพี่เอก็ส่งผมไปเรียนร้องเพลง เรียนการแสดง แล้วมีวันหนึ่งพี่เอถามผมว่า ผมทำอะไรได้บ้าง ผมก็บอกว่าผมพอร้องเพลงได้ พี่เอเลยให้ผมไปลองประกวดเดอะสตาร์ปีนั้นดู โดยให้เหตุผลว่าอยากให้ผมได้ลองเรียนรู้ชีวิตของคนๆอยากจะเข้ามาในวงการ บันเทิง และต้องเริ่มต้นจากศูนย์มันเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าอยู่ๆเราเข้ามาในวงการปุ๊ป แล้วจะดังเลยมันไม่ใช่ เพราะทุกคนก็ต้องเริ่มเดินจากศูนย์ทั้งหมด และค่อยๆ ก้าว ไปทีละก้าวเรื่อยๆ อีกเหตุผลคือ พี่เออยากให้ผมได้หาประสบการณ์ ฝึกฝนตัวเองด้วยเพราะผมเป็นคนขี้อายไม่ค่อยกล้าแสดงออกสักเท่าไหร่ แถมพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดเลยตอนนั้น แต่ปัจจุบันก็เริ่มดีขึ้นทั้งเรื่องขี้อาย และเรื่องพูด
ตอนที่เข้าไปเป็นเด็กในสังกัดของ เอ ศุภชัย จะต้องเรียนรู้อะไรบ้าง
อย่างแรกเลย พี่เอจะส่งผมไปเรียนเดินแบบ ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งเหตุผลก็คือ การเดินแบบมันฝึกเราได้หลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน อย่างเช่นได้ฝึกเดิน ฝึกบุคคลิกภาพของตัวเอง ได้ฝึกสมาธิไปในตัวด้วย เป็นต้น และหลังจากนั้น ก็จะไปเรียนการแสดง ผสมกับการร้องเพลงบ้าง และเราก็จะต้องเข้าฟิตเนสออกกำลังกาย เป็นประจำ และเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวันด้วย ถามว่าทุกอย่างที่พูดมา มันยากมั้ยผมเองว่ามันยากนะ แต่ในเมื่อเราต้องการที่จะมายืนในจุดนี้ เราก็ต้องผ่านทุกอย่างไปให้ได้ เพราะถ้าหากเราไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอที่จะก้าวต่อไปในวงการ เราก็จะหายไปก็เท่านั้น ดังนั้นผมว่าเราควรจะรักษา สิ่งที่เรามีอยู่ และพัฒนาตัวเองขึ้นไปอยู่ตลอดเวลาจะดีกว่า
ในระหว่างการทำงานในวงการบันเทิงที่ผ่านมาเคยเหนื่อย ท้อแท้ หรือหมดกำลังใจบ้างมั้ย
ช่วงแรกๆที่ผมเข้ามาทำงานในวงการนี้ ผมบอกเลยว่าไม่มี เพราะตอนนั้นผมเองจะสนุกกับการทำงาน สนุกกับเพื่อนอยู่ และหลังจากที่เซ็นต์สัญญากับทางช่อง 3 ช่องก็จะให้ผมไปเข้าคอร์สเรียนการแสดงเพิ่ม 1 คอร์ส ตอนนั้นผมก็ยังเพลิดเพลินอยู่กับการเรียนอยู่เลย แต่พอใกล้วันที่จะเปิดกล้องละครเรื่อง สุภาพบุรุษจุฑาเทพ มันก็เริ่มเครียดและกดดันมากๆ เหมือนมันมีหลายๆ อารมณ์เข้ามาทำให้เราคิดมาก ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ ทั้งหลายๆ อย่างมาเข้ามาในหัว แต่สุดท้ายผมเองก็ผ่านมันมาได้
ก่อนที่จะได้เข้ามาในวงการบันเทิง มีมุมมองอย่างไรกับวงการนี้ และเมื่อเข้ามาสัมผัสจริงๆ มีความแตกต่างจากความคิดแรกยังไงบ้าง
ตอนแรกผมมองว่าวงการบันเทิงนั้น มันเป็นสิ่งที่คอยมอบความสุขให้กับคน และสิ่งที่เราทำอยู่ ก็เพื่อทำให้คนดูทุกๆคนมีความสุขกัน สำหรับผมถ้าถามว่า วงการนี้น่ากลัวหรือเปล่า ผมบอกได้เลยว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะก่อนหน้านี้ เราอาจจะเคยได้ยินว่าวงการบันเทิงน่ากลัวอย่างนั้น อย่างนี้บ้าง แต่สำหรับผมไม่เลย ผมว่าเรารู้ได้ทุกอย่างนะว่า สิ่งไหนจริง สิ่งไหนปลอม
“กระแสข่าวต่างๆ”
กับข่าวคราวที่ผ่านมา มีคนมองว่าไม่แมนร้อยเปอร์เซนต์
กับข่าวมันมีมาตั้งแต่ ตอนก่อนเปิดกล้องละครซีรี่ย์เรื่องนี้แล้ว ซึ่งผมก็เจอกับเรื่องนี้มาค่อนข้างที่จะชินและเข้าใจ แต่ยังไงผมก็ยืนยันนะว่า ผมเป็นผู้ชายจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็มีคนเตือนเรื่องข่าวนี้เหมือนกันว่า ตัวผมเองหน้าหวานๆ แบบนี้ไม่รอดข่าวเกย์แน่นอน แต่ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกเรื่องข่าว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดอย่าไปคิดมาก
เตรียมตัวตั้งรับกับข่าวต่างไว้อย่างไรบ้าง
สำหรับผมถ้าเป็นข่าวเรื่องที่ดี ผมก็จะถือว่าเป็นกำลังใจให้ผมได้เดินต่อไปในวงการนี้อย่างภาคภูมิใจ และตัวผมเองก็จะเอาไว้ไปพัฒนาตัวเองให้ดีต่อไปเรื่อยๆ เพราะการที่เราจะทำให้คนมารักเราได้นั้น ตัวเราเองก็ต้องทำผลงานออกมาให้ได้ดีก่อน ส่วนข่าวด้านลบนั้น เราก็ควรปล่อยให้มันผ่านไป หากผิดเราก็ขอโทษและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น และจำไว้เป็นบทเรียนของชีวิตต่อไป
“วันวานของหนุ่มตี๋”
ชีวิตในวัยเด็กครอบครัวเลี้ยงดูยังไง และมีวีรกรรมเด็ดๆบ้างหรือไม่
ที่บ้านผมคุณพ่อ คุณแม่ จะเลี้ยงผมแบบแมนมากๆ เลี้ยงให้เป็นลูกผู้ชายสุดๆ พ่อกับแม่ผมจะแฟร์มากๆ ท่านสอนผมแบบนักกีฬาให้เป็นคนที่อดทน เข้มแข็งเจออะไรที่หนักหนาก็ต้องผ่านมันให้ได้ด้วยตัวเอง รู้แพ้รู้ชนะและรู้จักให้อภัย แต่ตอน 4 -5 ขวบ พ่อเคยเล่าว่าผมเป็นเด็กที่ ค่อนข้างดื้อมาก และเคยร้องงอแงจะเอาของเล่นครั้งหนึ่ง แล้วลงไปดิ้นกับพื้น และคุณพ่อก็บอกให้หยุดแต่เราก็ไม่หยุด แล้วคุณพ่อก็จับผมวางลง แล้วขับรถออกไปเลย ทิ้งเราไว้อยู่หน้าประตูห้างไว้ ซึ่งพ่อก็กลับมารับ หลังจากนั้นผมก็เลยไม่กล้าดื้ออีกเลย
“หัวใจกับความรัก”
ตอนนี้สถานะหัวใจเป็นอย่างไร และถ้าหากจะมีแฟนสเป็คสาวๆจะต้องเป็นแบบไหน
ตอนนี้หัวใจของผมยังโสดอยู่ ยังไม่มีแฟนเลย แต่ถ้าถามว่าสเป็คผู้หญิงของผมเป็นยังไง สำหรับผมไม่มีสเป็คตายตัวอยู่แล้ว แต่ผมเป็นคนที่มองเรื่องของการเจอกันครั้งแรกมากกว่า หน้าตาเป็นไงชอบแบบไหนผมไม่รู้ แต่ผมดูที่นิสัยมากกว่า ส่วนตัวผมชอบผู้หญิงที่เก่ง ยกตัวอย่างในละคร เพียงขวัญนี่คือตัวอย่างผู้หญิงที่ผมจะเลือกเลย เพียงขวัญเขาจะเก่งไปทุกๆอย่างดูแลครอบครัว ทำอาหาร แต่ถ้าถามว่าด้วยความที่เราเป็นนักแสดงจึงทำให้โอกาสที่จะเจอกับคนอื่นๆได้ ยากอันนี้ผมว่ามันก็ใช่ เพราะมันมีเรื่องเวลาที่เราอาจจะให้แฟนของเราได้ไม่เต็มที่ แต่สุดท้ายผมเชื่อว่าความรักมันจะทำให้เราผ่านไปได้ทุกอย่างผมเชื่อ
อัลบั้มภาพ 6 ภาพ