First Love
ยังจำได้ไหม “รักครั้งแรก” ของคุณ เกิดขึ้นเมื่อไหร่?
อนุบาล/ประถม/มัธยม/มหา’ลัย หรือ ทำงาน!
แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน คุณได้ทำอะไรเพื่อ “รักครั้งแรก” ของคุณกันบ้าง...
โปสเตอร์ หนัง First Love
หนัง First Love เล่าเรื่องของ “น้ำน่าน”(เจมส์ จิรายุ) หนุ่มแบ๊วขี้อาย ชอบนอนตื่นสายเป็นประจำ ชื่นชอบรถซุปเปอร์ไบท์เร็วๆ แรงๆ แต่ทุกเย็นกลับต้องมาล่องเรือเอื่อยเฉื่อยพานักท่องเที่ยวชมวิวริมแม่น้ำและชมการแสดงลิเกท่าน้ำของพ่อ(นุ้ย เชิญยิ้ม)เป็นประจำ น้ำน่านมักจะเล่นสนุกกับกลุ่มเพื่อนไปวันๆ ไม่มีจุดหมาย ไม่มีความฝันของตัวเอง จนกระทั่งก้าวเข้าสู่รั้วมหา’ลัย เมื่อเขาได้พบกับ“ผักบุ้ง” (สายเอี๊ยม กีรติกา) ลูกแม่ค้าขายผักบุ้งลอยฟ้า(อรอนงค์ ปัญญาวงศ์) สาวสวยเก่งลีลาศผู้มีความฝันอยากเป็นแชมป์ลีลาศเหมือนกับพ่อและแม่ที่เคยทำสำเร็จ
เขาตกหลุมรักผักบุ้งตั้งแต่แรกเห็น แต่ทำอย่างไรถึงจะพิสูจน์ความรักและค้นหาความฝันของตัวเองให้ได้ในเวลาเดียวกัน น้ำน่านพยายามทำทุกอย่างเพื่อได้ใกล้ชิดเธอ ด้วยการสมัครเข้าชมรมลีลาศ ทั้งที่เต้นไม่เป็น แต่ก็ได้ “ครูเบาหวิว”(ค่อม ชวนชื่น) แชมป์เก่าลีลาศ มาช่วยเป็นทั้งครูสอนเต้นสุดพลิ้ว พ่วงกับการเป็นที่ปรึกษาหัวใจ แต่ก็ช่วยได้บ้างไม่ได้บ้าง
น้ำนานมุ่งมั่นฝึกซ้อมจนได้เป็นคู่เต้นกับผักบุ้งลงแข่งขันลีลาศ แต่แล้วความสัมพันธ์ของทั้งคู่กับเจออุปสรรคที่ต้องรอการพิสูจน์ไปพร้อมๆ กับการแข่งขันลีลาศรอบสุดท้ายที่กำลังเข้มข้น ...ความรักของน้ำน่านและความฝันของผักบุ้งจะเป็นจริงหรือไม่ ร่วมลุ้นไปกับ “รักครั้งแรก” ภาพยนตร์ที่จะพาหัวใจคุณอมยิ้มและย้อนกลับไปคิดถึงครั้งแรก..ที่คุณเริ่มรู้จักคำว่า “รัก”
“เฟิร์สเลิฟ” เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติก-คอมิดี้ ที่ผู้กำกับภาพยนตร์ พิทักษ์ ปานเปรม ตั้งใจนำประเด็นเรื่องราวความรัก ความฝัน ผสมผสานกับความรักในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกร้อยเรียงถ่ายทอดลงสู่ภาพยนตร์ นี่คือไอเดียแรกเริ่มที่จุดประกาย พร้อมกับนำเสนอและแชร์ไอเดียให้กับ บัณฑิต ทองดี (ผู้ควบคุมงานสร้าง) จากนั้นทั้งคู่จึงได้นำโปรเจ็คต์ครั้งนี้ไปเสนอกับทาง ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ปรีชา เรืองจันทร์ และได้รับความสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของจ.พิษณุโลก เพื่ออำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา รวมถึงเรียนเชิญ ปรัชญา ปิ่นแก้ว (ผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้ควบคุมงานสร้างมือหนึ่งของประเทศ)ร่วมเป็นที่ปรึกษาด้านภาพยนตร์ครั้งนี้
ผู้กำกับพิทักษ์ เล่าถึงที่มาของโปรเจ็คต์ครั้งนี้ ที่ได้รับความร่วมมือและความสนับสนุนจากทุกฝ่ายของจ.พิษณุโลกและผู้มีประสบการณ์ด้านภาพยนตร์ที่ให้โอกาสสร้างภาพยนตร์ว่า
“เริ่มจากตัวผมเองเป็นอาจารย์สอนสาขาสื่อมวลชน ด้านภาพยนตร์ และในทุกๆปี ผมจะเชิญผู้กำกับ และนักแสดงที่มีชื่อเสียง มาเป็นวิทยากร บรรยายประสบการณ์การทำงานให้กับนักศึกษาที่จ.พิษณุโลก หนึ่งในนั้นก็มีทั้ง พี่อ๊อด บัณฑิต ทองดี และพี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว ที่ทางผมมักจะเชิญไปบ่อยและหลายครั้ง ซึ่งทั้ง 2 คนชื่นชอบจ.พิษณุโลกมาก โดยแนะนำว่าสามารถพัฒนาโดยใช้จังหวัด บวกกับข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่สร้างภาพยนตร์ได้เลย เราคุยกันมาหลายรอบ จนกระทั่งผมเกิดไอเดีย ทำพ็อตหนังขึ้นมา ซึ่งทางจังหวัดพิษณุโลก ภาครัฐและภาคเอกชนก็เห็นชอบด้วยในการสร้างหนัง โดยมีพี่อ๊อด ร่วมเป็นผู้ควบคุมงานสร้าง และพี่ปรัชญา ร่วมเป็นที่ปรึกษาของโปรเจคต์ครั้งนี้ ต้องบอกว่าตอนแรกผมไม่ได้คิดจะกำกับเองเลย แต่เพราะพี่ 2 คนให้กำลังใจผมดีมาก และพร้อมจะช่วยเหลือทุกอย่าง ผมเลยมุ่งมั่นกำกับและเขียนบทเองครับ”
ผู้ควบคุมงานสร้าง บัณฑิต เล่าถึงการวางแนวทางภาพยนตร์ครั้งนี้ว่า “โจทย์ที่คุยกันตั้งแต่แรกเริ่ม ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวโปรโมทจ.พิษณุโลก แต่ไม่ใช่ในแง่สารคดี หรือตรงไปตรงมาแบบ direct sale เราต้องการให้คนดูค่อยๆซึมซับความเป็นพิษณุโลกโดยผ่านภาพยนตร์ เพราะไอเดียมันคือ ภาพยนตร์รัก โรแมนติก คอมิดี้ วัยรุ่น ที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตรักของนักศึกษาที่เกิดขึ้นในพิษณุโลก ทุกคนสามารถดูได้ โดยที่นำโลเคชั่น วัฒนธรรมของพิษณุโลกมาใส่ไว้ในภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเศรษฐกิจศูนย์กลางของอาเซี่ยน”
สำหรับแรงบันดาลใจที่นำมาถ่ายทอดสู่ภาพยนตร์ “เฟิร์สเลิฟ” คือ ความเชื่อว่าทุกคนมี “รักครั้งแรก” และไม่ว่ารักครั้งแรกของแต่ละคนจะเป็นแบบไหน จะยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอ โดยผู้กำกับ พิทักษ์ เล่าถึงแรงบันดาลใจที่นำมาเสนอในภาพยนตร์ครั้งนี้ว่า
“ผมเชื่อว่าทุกคนมีรักครั้งแรก และรักครั้งแรกของทุกคนมักจะสั้นมาก ไม่ค่อยสมหวัง แต่ถึงมันจะสั้นมากกลับแปลกที่ว่า มันเป็นรักที่คนจำได้นานที่สุด มันสั้นในช่วงระยะเวลาแต่ว่ามันอยู่ในความทรงจำของคนคนนั้นนานมากนะ อาจจะไม่ค่อยสมหวัง แต่ก็เป็นความรู้สึกดีๆ ผมถือว่าเป็นรักที่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้รักที่บริสุทธิ์มันเป็นจริงและประสบความสำเร็จได้ ตัวเราเองต้องสร้างก่อน สร้างคุณค่า คนเราต้องมีเป้าหมายมีจุดหมายในชีวิตรวมทั้งความรักด้วย ไม่ใช่รักแบบไร้เหตุผล อย่างน้อยความรักมันทำให้ผู้ชายคนนึงอย่าง น้ำน่าน ในเรื่อง จากคนที่ไม่เคยคิดอะไรเลย อยู่ไปวันๆใช้ชีวิตไปวันๆโดยไม่มีจุดหมาย เขาก็ยังมีจุดมุ่งหมายที่จะก้าวต่อไป ซึ่งแรงบันดาลนี้เกิดขึ้นจากรักครั้งแรกของเขานั่นเองครับ”
ค้นหา “รักครั้งแรก”
• คัดเลือกนักแสดงนำ
จุดประสงค์หลักของผู้กำกับ ในการคัดเลือกนักแสดงนำ คือ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ต้องการนักแสดงที่เป็นคนในพื้นที่ หรือคนท้องถิ่นในจังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดใกล้เคียง เพราะคิดว่านักแสดงที่ถูกคัดเลือกมาจะเข้าใจ ซึมซับเกี่ยวกับวัฒนธรรม การดำเนินชีวิต และความเป็นคนท้องถิ่นของจังหวัดพิษณุโลกได้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงการถ่ายทอดคาแร็คเตอร์ที่ได้รับออกมานั้น จะสามารถสื่อสารถึงคนดูและอินไปกับบทบาทได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้วิธีเปิดรับสมัครผ่านทาง Facebook และตามมหาวิทยาลัยต่างๆในพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียงนั่นเอง
ผู้ควบคุมงานสร้าง บัณฑิต เล่าถึงการมีส่วนร่วมในการคัดเลือกนักแสดงในครั้งนี้ด้วยว่า “เราประกาศแคสติ้งนักแสดงโดยต้องการเน้น นักแสดงหลักเป็น คนจ.พิษณุโลก หรือจังหวัดที่ใกล้เคียงเท่านั้นครับ ด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องการนักแสดงหลักที่เป็นคนในพื้นที่จริงๆ เพราะเขาจะรู้จักพิษณุโลกได้อย่างท่องแท้ครับ อย่าง น้องเจมส์ จิรายุ เป็นเด็กจังหวัดพิจิตร มารับบท น้ำน่าน เป็นตัวแทนของเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามหา’ลัย ครั้งแรก เป็นเด็กปี1 ที่เพิ่งรู้จักความรัก และเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบเด็กมหา’ลัย
น้องสายเอี๊ยม กีรติกา เป็นเด็กพิษณุโลกอย่างแท้จริง ตัวพระเอกและนางเอก เป็นคนท้องถิ่นจริงๆ เราต้องการเน้นคาแร็คเตอร์ของนักแสดงนำ เมื่อเกิดความรัก ความรู้สึกที่ซึมซับความเป็นคนท้องถิ่น ซึ่งกว่าจะได้ 2 คนนี้มา ใช้ระยะเวลานานพอสมควร คัดเลือกกันหลายรอบมาก โดยเฉพาะสายเอี๊ยม นอกจากการแสดง เรายังให้เขาแสดงความสามารถพิเศษ ทั้งร้องเพลง รำไทย เต้นบัลเลย์ ความสามารถเพียบ เหมาะสมกับบทนี้มากเพราะ ผักบุ้ง ในเรื่องจะต้องเป็นผู้หญิงสวยและเก่งรอบด้านครับ”
ผู้กำกับพิทักษ์ เล่าถึงเหตุผลที่เลือกสายเอี๊ยม กีรติกา มารับบท ผักบุ้ง เพราะพิจารณาจากสำเนียงการพูด เน่อแบบชาวพิด’โลก ตรงตามคาแร็คเตอร์ที่ต้องการเป๊ะในครั้งนี้ว่า
“สำหรับบทของ ผักบุ้ง ต้องเป็นคนสวยแบบท้องถิ่น และจะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษหากพูดจาสำเนียงคนพิด’โลกได้ด้วย ต้องเน่อแบบคนท้องถิ่น ตอนสายเอี๊ยมมาแคสติ้ง เสียงน้องเขาเน่อได้ใจมาก หน้าตาสวยผ่าน และเนื่องจากบทนี้ต้องมีความงามแบบสง่า คล้ายดั่งหงส์ เพราะผักบุ้งในคาแรคเตอร์จะต้องเป็นนักลีลาศ สวยอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีความงามและสง่าครับ”
สายเอี๊ยม กีรติกา เล่าถึงความรู้สึกที่ได้แสดงภาพยนตร์ครั้งแรก และการเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อบทบาทในครั้งนี้ว่า “รู้สึกตื่นเต้นมาก กดดันด้วยเพราะเป็นครั้งแรกเลยที่เราแสดง กลัวจะทำได้ออกมาไม่ดี แต่ก็มีการเตรียมตัวก่อนเปิดกล้องด้วยการเรียนแอ็คติ้งหลังเลิกเรียนทุกวัน และในเรื่องนี้ผักบุ้งต้องเต้นลีลาศเก่ง แต่เราเต้นไม่เป็นก็ต้องฝึกเต้นลีลาศต่อจากเรียนแอ็คติ้ง ก็จะมีทั้งครูฝึกเต้น และได้เจมส์ จิรายุ มาเป็นครูสอนลีลาศตอนอยู่หน้ากองด้วยเช่นกัน เพราะเจมส์เขาเต้นลีลาศเป็นอยู่แล้ว ก็จะคอยสอนเรื่องการก้าวขาต้องแบบนี้ เดินหน้าแบบนี้ ก็ทำให้ง่ายมากขึ้นเมื่อคู่เราเต้นเป็นค่ะ”
ผู้กำกับพิทักษ์ เล่าต่อถึงบทพระเอก หรือ น้ำน่าน เป็นการคัดเลือกที่ยากมาก ทั้งที่มีคนเข้ามาแคสติ้งกว่าครึ่งพันคน แต่ก็ยังหาคนที่ใช่ และตรงตามต้องการไม่ได้สักที จนเมื่อหนุ่ม เจมส์ จิรายุ พกความหล่อแบบใสใส บวกกับลีลาการเต้นลีลาศที่เหนือชั้นเข้ามาร่วมแคสติ้งในครั้งนี้
“หลังจากที่เราได้คาแร็คเตอร์ครบทุกตัว ปัญหาใหญ่คือเรายังขาดคาแร็คเตอร์หลัก คือ พระเอก หาไม่ได้ครับ ปิดรับสมัครทาง Facebook ไปเรียบร้อยแล้ว เอารูปพระเอกมาวางเรียงกัน ก็ยังไม่ใช่ จนวันนึงผมติดธุระไรสักอย่าง ทีมงานบอกว่ามีคนนึงจะให้ดู ผมก็บอกว่าถ่ายคลิปเก็บไว้ละกัน ผมติดธุระ พอผมกลับมาเปิดดูกลายเป็นหนุ่มน้อยคนนึงตัวสูงโปร่งขาว ลองออดิชั่น ลองเต้นรำ พอดูเสร็จ ทีมงานทุกคนลุ้นว่าจะเอาไง ผมพูดคำเดียว คนนี้แหละ ที่หายากเพราะว่าผู้ชายหน้าตาดีเด็กพิษณุโลกมาเยอะมากนะ แต่ส่วนมากจะเต้นลีลาศกันไม่เป็น ส่วนน้องเจมส์ จิรายุ เหมือนเบื้องบนส่งลงมาให้ ทั้งหน้าตา ความสามารถ และมันใช่คาแรคเตอร์นี้เลย หาได้ยากมากนะสำหรับผู้ชายที่เต้นลีลาศได้”
เจมส์ จิรายุ เล่าถึงการเตรียมตัวก่อนเปิดกล้อง รวมถึงมีหน้าที่เป็นครูสอนลีลาศให้กับสายเอี๊ยมในครั้งนี้ว่า “ผมพอจะมีความรู้บ้างในการเต้นลีลาศครับ แต่จริงๆแล้วในเรื่องสายเอี๊ยมจะต้องเต้นเก่งมาก เป็นนักกีฬาลีลาศ ก็ดันสลับกัน แต่ก็สนุกดีครับ เพราะว่าเราต้องซ้อมลีลาศกันอยู่พักนึง ก็มีครูมาช่วยสอนด้วยเหมือนกัน ส่วนหน้ากองจะมีการต่อท่าบ้าง ผมก็จะช่วยสอนบ้างครับ สายเอี๊ยมเขามีทักษะในการเต้น การแสดง บางทีเขาเองก็สามารถทำไรได้ในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงเยอะมากนะ และก็มีเรียนการแสดงกับแอ็คติ้งโค้ชประมาณเดือนนึงครับ”
• นักแสดงสร้างสีสัน
ด้วยความตั้งใจของผู้กำกับ ที่ต้องการสร้างเสน่ห์ เสียงหัวเราะ รวมถึงเพิ่มดีกรีความสนุกสนานให้กับภาพยนตร์ จึงคว้าทีมนักแสดงรุ่นใหญ่ระดับมืออาชีพมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวความรัก โดยมี 2 นักแสดงตลกคิวทองอย่าง ค่อม ชวนชื่น และ นุ้ย เชิญยิ้ม รวมถึงนักแสดงสาวสวยมากฝีมือ อรอนงค์ ปัญญาวงศ์ โดยผู้กำกับเล่าถึงทีมนักแสดงสร้างสีสันครั้งนี้ว่า
“เราต้องการนักแสดงมืออาชีพอย่างแท้จริง โดยเฉพาะครูเบาหวิว พอเขียนบทเสร็จภาพของ น้าค่อม ลอยขึ้นมาเลย ว่าต้องเป็นครูเบาหวิวเท่านั้น ปัญหาเดียวคือ แล้วน้าค่อมจะเต้นลีลาศเป็นไหม แต่พอน้าค่อมมาแสดงกับเรา เหมือนเป็นคนอัจฉริยะ มีครูแอ็คติ้งโค้ชทางด้านลีลาศมาสอนให้สักหน่อย น้าค่อมพริ้วไหวเหมือนชื่อเลยครับ เบาหวิว พริ้วไหวดั่งสายน้ำ โดยเฉพาะเอวน้าค่อมชนะเลิศมาก (555)
พี่นุ้ย เชิญยิ้ม รับบทพ่อยม คิดหนักมากตอนแรกจะหาใครมารับบทเป็นพ่อของพระเอก ซึ่งต้องหน้าตาดี และฮาได้ด้วย ในคาแรคเตอร์จะต้องเล่นเป็นลิเกริมน้ำ จะต้องมีความสามารถในการเล่นลิเก ร้องลิเก ที่สำคัญต้องหล่อ ก็คงเป็นใครไม่ได้ครับนอกจากพี่นุ้ย เท่านั้น(555)ทำงานร่วมกับพี่นุ้ยสนุกสนานไม่แพ้กับน้าค่อมเลยครับ พอเราสั่งแอ็คชั่น เขาจะกลายเป็นคาแรคเตอร์นั้นทันที และพอสั่งคัทจะกลายเป็นพี่นุ้ยที่อารมณ์ดี นิสัยดี พูดคุยสนุกกับทีมงาน ให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาดีๆให้กับทีมงานมากครับ
คุณอรอนงค์ เขามีความเป็นคนในเมืองและคนต่างจังหวัดในตัว เขาเป็นคนเหนืออยู่แล้ว ในคาแร็คเตอร์ต้องเป็นคนที่สวย สง่า เพราะในอดีตเคยเป็นนักเต้นลีลาศมาก่อน แต่ปัจจุบันหันมาเปิดร้านผักบุ้งลอยฟ้า เพื่อเลี้ยงลูก คาแร็คเตอร์จึงต้องเคยสวยมาก่อนและใช้ชีวิตติดดิน ต้องสวยสง่าโดยธรรมชาติ เหมาะกับบท แม่พิมพ์ แม่ของนางเอกในเรื่องนี้มากครับ เบื้องหลังคุณอรเขาก็เป็นนางงาม ส่วนน้องสายเอี๊ยมเองก็ประกวดนางงาม ยิ่งแมชกันกลายเป็นคู่แม่ลูกที่ลงตัวเลยครับ”
ผู้ควบคุมงานสร้าง บัณฑิต เล่าเสริมต่อว่า “ในแง่สร้างเสียงหัวเราะ และฮา จะเป็น น้าค่อม ชวนชื่น และ พี่นุ้ย เชิญยิ้ม ส่วนน้องอร อรอนงค์ ในแง่ฝีมือการแสดงคุณภาพอยู่แล้ว ทุกคนจะมีส่วนในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับพระเอก และนางเอก จะไม่ได้ออกมาแสดงเป็นตลกคาเฟ่ แต่ตลกแบบมีสาระ แนวคิด เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพระเอก ให้เขามุ่งสู่สิ่งที่เขาต้องการจะทำอะไรสักอย่างครับ”
จุดนัด “เลิฟ”
ด้านการออกแบบงานสร้าง มีการเตรียมก่อนเปิดกล้องประมาณ 1 ปี โดยเริ่มตั้งแต่การรีเสิร์ชข้อมูล และสถานที่ถ่ายทำในจังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดใกล้เคียง โดยผู้กำกับ พิทักษ์ เล่าว่า “อย่างแรกคือ ต้องเตรียมข้อมูล รีเสิร์ชก่อนเพราะ จ.พิษณุโลกมีเอกลักษณ์ที่ค่อนข้างโดดเด่น และเราจะรวมเอา
ความเป็นจังหวัด ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นมารวมกับความรักได้ยังไง เราต้องหาข้อมูล 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ความรัก ต้องเป็นรักของวัยรุ่น เป็นรักครั้งแรก ส่วนที่สอง เนื่องจากเราได้รับความมือจากทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนของพิษณุโลก เพราะฉะนั้นจะมีคำถามหลายอย่างว่าหนังเรื่องนี้จะให้อะไรได้บ้าง ทั้งในแง่ของวัฒนธรรม เศรษฐกิจอะไรต่างๆ เราต้องมาประมวล สรุปเป็นเนื้อเรื่องอีกครั้งว่าจะทำยังไงดี เพื่อออกมาเป็นเนื้อหาของหนัง และคาแรคเตอร์ของตัวละครที่จะสะท้อนออกมาเป็นจังหวัดพิษณุโลกอยู่ด้วย”
ผู้กำกับ พิทักษ์ เล่าต่ออีกว่า “สำหรับโลเคชั่นการถ่ายทำ เราใช้สถานที่ของจ.พิษณุโลก ซึ่งเราก็เขียนบทขึ้นมา และนั่งคิด นั่งคุยกับหลายๆคนที่อยู่ในจังหวัด มันก็มีหลายสถานที่ ที่คนรู้อยู่แล้วว่ามีอะไรบ้าง แต่ก็มีอีกหลายสถานที่ ที่คนอื่นไม่รู้ว่าจ.พิษณุโลกมีอะไรบ้าง แต่ที่เป็นไฮไลท์และคนทั้งประเทศรู้คือ วัดใหญ่ ซึ่งมีพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย สถานที่พักผ่อนหย่อนใจอย่าง บึงราชนก เราไปถ่ายเก็บบรรยากาศ และอีกส่วนที่เป็นไฮไลท์นอกจากที่เที่ยวในจังหวัดแล้ว พิษณุโลกยังมีจุดเด่นคือ เป็นฮับ(Hub) ในหนังเราจึงมีโลเคชั่นที่เป็นจังหวัดอื่นด้วย แต่เป็นจังหวัดใกล้เคียง เช่น ภูหินร่องกล้า หรือภูทับเบิก ที่สามารถขับรถไปแค่เพียง 2-3 ชม.ก็ถึงแล้ว”
นอกจากนี้ “เฟิร์สเลิฟ” ยังเป็นภาพยนตร์ที่ทางผู้กำกับต้องการทรอดแทรกแง่คิด และต้องการสะท้อนเรื่องราวความรักสู่คนดู ที่ไม่ว่าคุณจะผ่านรักครั้งแรกมาแล้ว หรือคุณกำลังเริ่มรู้จักคำว่า “รัก” ซึ่งแม้มันจะสมหวังบ้าง หรือไม่สมหวังบ้าง แต่ความรักจะเป็นแรงบันดาลใจได้ดีให้กับทุกคนที่มีความรัก
ผู้กำกับพิทักษ์ ฝากถึงแง่คิดที่จะได้จากการชมภาพยนตร์ครั้งนี้ว่า “นอกจากจะได้เห็นแง่มุมความรักครั้งแรกของตัวละครในเรื่องแล้ว การเข้าไปดูหนังเรื่องนี้บางครั้งมันเหมือนเราได้ย้อนกลับไปสู่ “เฟิร์สเลิฟ” ของพวกเรา รักครั้งแรกของเราเป็นอย่างไร สมหวัง ผิดหวัง และสิ่งที่ผมมั่นใจ คือ เชื่อว่าเดินออกมาจากโรงหนังแล้ว ทุกคนจะต้องยิ้มครับ”
เจมส์ จิรายุ ฝากถึงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของเขาว่า “ความรักจะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณมีเป้าหมายในชีวิต และแน่นอนความสวยงามของสถานที่ถ่ายทำในเรื่องนี้สวยมากด้วย มีวัดพระพุทธชินราชที่ชาวพิษณุโลกศรัทธาและนับถือกันมากด้วยครับ ก็อยากให้ติดตามชมกัน เฟิร์สเลิฟ ที่จะทำให้ใครหลายๆคนคิดถึงรักครั้งแรกของตัวเองครับ”
ผู้ควบคุมงานสร้าง บัณฑิต การันตรีความเป็นหนังรักวัยรุ่นใสใสที่มีสาระในครั้งนี้ว่า “แน่นอนคือ วัยรุ่น ชีวิตของนักศึกษา ชีวิตรัก ชีวิตเรียน ชีวิตการต่อสู้ ความสนุกสนานในรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์รักโรแมนติกผสมความคอมิดี้เล็กๆ เราจึงเน้นและอยากให้เห็นความรักครั้งแรก ของคนที่มีความรักว่าเป็นอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไร สุดท้ายตัดสินใจยังไงกับการที่จะใช้ความรักของเขาไปในเส้นทางที่เขาอยากให้เป็น ด้านความสวยงามที่จะเห็นในภาพยนตร์ คือสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ภูหินร่องกล้า ภูทับเบิก เป็นจังหวัดใกล้เคียงกับพิษณุโลก สถานที่เที่ยวทางวัฒนธรรม วัดพระพุทธชินราช แม่น้ำน่าน สะพานวัดใหญ่ เป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมและมีความเป็นทันสมัยด้วย คนดูจะได้เห็นพิษณุโลกในมุมมองที่แตกต่างออกไป เป็นภาพยนตร์ที่ทุกจังหวัด และทุกคนดูได้หมดครับ”
หนัง : เฟิร์สเลิฟ (First Love)
ประเภทหนัง : Comedy, Romance
จัดจำหน่ายโดย : สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
ผู้กำกับ : พิทักษ์ ปานเปรม
ผู้เขียนบท : พิทักษ์ ปานเปรม
วันที่เข้าฉาย : 12 กันยายน 2556
นักแสดงนำ : จิรายุ ตั้งศรีสุข (เจมส์) / กีรติกา สว่างแจ้ง(สายเอี๊ยม) อาคม ปรีดากุล (ค่อม ชวนชื่น) / อรอนงค์ ปัญญาวงศ์ / ชูเกียรติ เอี่ยมสุข(นุ้ย เชิญยิ้ม)