ปรัชญา ปิ่นแก้ว, 8 ปีกว่าจะมาเป็น ต้มยำกุ้ง 2 (ตอนจบ)

ปรัชญา ปิ่นแก้ว, 8 ปีกว่าจะมาเป็น ต้มยำกุ้ง 2 (ตอนจบ)

ปรัชญา ปิ่นแก้ว, 8 ปีกว่าจะมาเป็น ต้มยำกุ้ง 2 (ตอนจบ)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลับมาอีกครั้งกับบทสัมภาษณ์ยอดผู้กำกับชาวไทย ปรัชญา ปิ่นแก้ว กับการกลับอีกครั้งใน ต้มยำกุ้ง 2 - 3D



Q: ทราบมาว่าในการที่ต้องเล่นแอ็คชั่น พี่ปรัช พี่พันนาและพี่ท็อป(ผกก.และออกแบบคิวบู๊)ถึงกับมีการส่งไปเวิร์คช็อพไปฝึกกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยจริงๆ 

    P:  นักฆ่าหมายเลข20 เราก็จะมีการเตรียมการให้หญิงไปฝึกกับทีมสตั้นท์ของพันนา โดยฝึกกับคุณท็อป(วีระพลผกก.และออกแบบฉากแอ็คชั่น) เหมือนกันที่คุณท็อปทำงานกับจีจ้านะครับจะต่างกันตรงที่ว่าหญิง นอกจากจะสู้ได้แล้วยังต้องมีความเซ็กซี่ด้วยซึ่งตรงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาทำได้จริงๆ ผมอยากเห็นความคล่องแคล่วในการต่อสู้ บวกกับความเซ็กชี่ของเขาในสรีระของเขา เราไม่ต้องการเห็นโป๊จนเกินไป แต่เราพยายามให้ตัวละครตัวนี้คนดูจะต้องรู้สึกได้ถึงความเท่ห์ความเฉียบขาดบวกกับความเซ็กซี่ซึ่งในขณะที่คู่ต่อสู้ซึ่งแน่นนอนอาจจะเป็นผู้ชาย อาจจะเสียสมาธิในความเซ็กซี่ที่มีอยู่ในตัวหมายเลข20 คู่ต่อสู้แต่ละคนต่อให้เก่งแค่ไหนก็ตามก็ต้องแพ้หมายเลข20 อันนี้คือสิ่งที่เราปูเอาไว้ สิ่งที่เราได้รับคือนึกไม่ถึงว่าการแสดงทั้งในส่วนของดราม่าและแอ็คชั่นที่ถูกถ่ายทอดออกมาจะส่งผลได้ถึงขนาดนี้ พอออกมาแล้วมันเกินจากสิ่งที่เราคิดไว้ซึ่งถือว่าสิ่งที่เขาทำและเตรียมการทำการบ้านมาได้ดีมากๆ

Q: เป็นโปรเจ็คต์อินเตอร์ขนาดนี้แน่นอนว่าย่อมต้องมีนักแสดงต่างชาติมาร่วมด้วยครั้งนี้มีถึง2คนที่พี่ ปรัชเลือกให้มารับบทบาทสำคัญคือเป็นตัวร้ายเป็นคู่ปรับของจาพนม

   P: ครับ ก็จะมี2คนคนแรกก็คือ LC. สวมบทโดย รีซ่า(RZA) ซึ่งตัวละครตัวนี้ผมถอดคาแร็คเตออร์มาจากตัวจริงของรีซ่าที่เขาเป็นคนที่ชื่นชอบและหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ ซึ่งเขาเป็นเพื่อนสนิทกับเควินติน ทารันติโน่แล้วการที่เขาชอบหนังบ้าๆ ของ Quentinนี่แหละรวมทั้งพวกศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง ผมจึงเอาคาแรคเตอร์ตรงนี้มาใส่ให้ LC. ซึ่งเป็นบทหัวหน้าผู้ร้ายในเรื่อง ตัวละครLC.ที่เราสร้างขึ้นมาต้องเป็นคนที่มีธุรกิจ และภารกิจเกี่ยวพันกับเรื่องผิดกฎหมายอย่างเรื่องการค้าอาวุธ แต่ว่าในขณะเดียวกันเขาก็มีการสะสมความชอบส่วนตัวก็คือสะสมศิลปะการต่อสู้ผ่านตัวบุคคลโดยเขาจะมีเหล่านักสู้อยู่ในคอลเล็คชั่นกำหนดไปเลยว่าใครหมายเลขที่เท่าไหร่ถือว่าเป็นงานอดิเรกของเขา  แต่จากความชอบส่วนตัวของเขาที่เขาขั้นที่เรียกว่าหลงใหลคลั่งไคล้ขนาดบ้าได้ชนิดที่ว่าถ้าเขาอยู่ใกล้คนที่เก่ง โดยเฉพาะไอ้ขามคนที่เขาจับตามาตั้งแต่ต้มยำกุ้งภาค1 เขาจะรู้สึกได้ว่าเมื่อเขาได้มาอยู่ใกล้ไอ้ขามเมื่อไหร่ความบ้าทางด้านนี้ของเขาจะพุ่งพล่านเข้ามาทันที

Q.การทำงานร่วมกับRZA เป็นอย่างไรบ้าง

     P: ทุกครั้งที่ออกกองถ่ายผมรู้สึกว่าเขาสนุกสนานกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเห็นการซ้อมของสตั้นท์  เห็นทีมงานของกองถ่ายของพวกเรา และก็มาประเทศไทย ทุกอย่างมันเป็นประสบการณ์ความตื่นเต้นเขาหมดเลย เลยทำให้คิดว่าการร่วมงานกันครั้งนี้ออกมาดีมากและลงตัวโดยเฉพาะในบทบาทของLC.ที่รีซ่าจะต้องสวมบทบาท แทบไม่ต้องไปบอกเลยว่าจะต้องเล่นอย่างไรคือมันออกมาเป็นธรรมชาติมากๆเลยฉากเปิดตัวเขากับผู้หญิงที่รายล้อมเขามันคือภาพที่ผมเห็นจากมิวสิควีดีโอของเขาเองคือเขาเป็นเหมือนราชาในพื้นที่ของเขา และเขามีความเป็นเด็กอยู่ในตัวอยู่เหมือนกัน ในขณะเดียวกันงานที่เขาทำภารกิจที่เกี่ยวข้องในฐานะตัวร้ายก็พร้อมที่จะส่งผลร้ายต่อสังคม แน่นอนว่าย่อมไม่ได้ส่งผลให้เขาแคร์ในผลร้ายที่จะตามมา กลับกันเขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นเหมือนของเล่น เหมือนเป็นการเล่นสนุกไปหมด อันนั้นคือคาแร็คเตอร์ของLCที่เราต้องการและอยากให้เขาถ่ายทอดออกมาซึ่งรีซ่า(RZA)ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง

ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะมาจากสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่คือความชอบส่วนตัวของเขาด้วยก็ได้ เหมือนกับที่ตรงนี้ได้ผลักดันให้เขาได้เข้ามาทำหนัง ได้เข้ามากำกับหนังและก็แสดงเองด้วยจากหนังเรื่องก่อนหน้าของเขา(THE MAN WIT THE IRON FITS) เพราะฉะนั้นการที่เราได้ร่วมงานกับเขาบวกกับความเป็นจริงที่ตัวตนของเขาเองก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วทำให้เราทำงานได้ง่าย ได้คล่อง ได้แลกเปลี่ยนความคิด รวมทั้งสุดท้ายแล้วไม่ว่าผมต้องการอะไรเขาก็ให้เราได้เต็มที่เลย บางครั้งเขาก็เสริมIdea เสริมบุคลิกเขา อย่างในเรื่องเราจะเห็นตัวละครตัวนี้ชอบคาบไม้จิ้มฟัน อันนี้เป็นIdeaของเขาเอง และบางครั้งเขาก็ใช้ไม้จิ้มฟันมาร่วมในงานต่อสู้บ้างนิดหน่อยเหมือนมีอยู่ฉากหนึ่งที่เราจะเห็นว่าไอ้ขามถูกพวกของLC.จับตัวมา และนี่เป็นซีนที่ทั้งคู่เจอหน้ากันครั้งแรก ฉากนี้คนดูจะได้เห็นคาแรคเตอร์ของLC.ที่ชัดเจนทั้งในส่วนของความหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ ความเลือดเย็น ความโหด และความขี้เล่นที่มีอยู่ในตัวของเขา แล้ววันที่ถ่ายทำฉากนั้นมหัศจรรย์มาก ผมเชื่อว่าเขาออกแบบดีไซน์ตัวเข้าไว้เรียบร้อยแล้วว่าฉากนี้เขาจะเล่นอย่างไร พอเขาเริ่มถ่ายทำเราแทบไม่อยากจะสั่งคัทเลย เราปล่อยให้เขาเล่นฟีลลิ่งมาเหมือนจริงเลย และในฉากนั้นในความที่เขาจะต้องเป็นเหมือนผู้ชายอารมณ์ดี เหมือนคนขี้เล่นเหมือนเด็ก แต่เวลาเขาโกรธขึ้นมาหรือเวลาเขาจะเด็ดขาดขึ้นมาดูมีพลัง ก็เป็นตัวละครที่ผมชอบมากเขาถ่ายทอดได้ดีมากได้อย่างที่เราต้องการมากๆ เรียกว่ามากกว่าที่คิด อยากให้ทุกคนจับตาดูครับ ส่วนฉากต่อสู้ระหว่างรีซ่า กับจา พนมอันนี้ผมรู้ว่ามันเป็นความฝันของเขา เขาอยากจะสู้กับจาพนมในภาพยนตร์ ซึ่งอยากให้ทุกคนสังเกตแววตาของเขา  ผมรู้สึกว่าเขาแทบไม่ต้องแสดงอะไรเลย แค่เขาได้สนุกกับสิ่งที่เขาจะได้ทำ แอ็คชั่นที่เขาต้องสู้กับจาพนม เขาแบบเต็มที่เขาใส่อารมณ์แบบคือเขาอาจจะไม่ใช่นักสู้ที่สู้เก่งที่สุด แต่ว่าจากความที่เขาเชื่อมันจากความที่เขาชอบมันมันส่งผลให้แสดงออกมาแล้วทำให้เราเชื่อได้ว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริง เป็นฉากต่อสู้ที่ผมรู้สึกสนุกมาก เมื่อเทียบกับฉากอื่นในเรื่อง ต้องยอมรับว่าแต่ฉากนี้มันพิเศษจริงๆ

Q: มาถึงคู่ปรับที่เป็นไฟท์เตอร์คนสำคัญในต้มยำกุ้งภาค2 Marrese crump หรือ “หมายเลข 2”

P: มาริส รับบทเป็นหมายเลข 2 หรือว่าNo.2ซึ่งหมายความว่าเลขยิ่งน้อยถือว่ายิ่งเก่ง จริงๆแล้วเขาเป็นคนเก่งที่สุดในมือของรีซ่า เป็นนักสู้ที่เก่งที่สุด เร็วที่สุด และก็เยือกเย็นที่สุด ซึ่งคงเหมาะสมที่จะต้องมาเจอไอ้ขาม ส่วนไอ้ขามจะแก้มือสู้กับNo.2อย่างไรนั้นเป็นโจทย์หนักที่ไอ้ขามต้องคิด สำหรับตัวมาริสที่มาเป็นผู้ถ่ายทอดตัวละครตัวนี้ต้องบอกว่า ตั้งแต่เขาเกิดมาเขารู้สึกว่าชีวิตเขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้คือเขาเรียนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก และก็เรียนการต่อสู้หลายๆแบบจากอาจารย์หลายๆที่ แล้วก็จริงจังกับการเรียนมากๆ จุดเด่นของเขาก็คือ ความเร็ว ท่าต่อสู้ของเขาจะเร็วมากๆ จากที่ผมเคยเห็นผลงานเก่าๆของเขา ผมรู้สึกว่าเขาต้องการเจอคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับเขาซึ่งแน่นนอนก็คือจา พนมอันนั้นก็คือความฝันอีกอันหนึ่งของเขาเหมือนกัน การที่เราได้ทำงานด้วยกันผมรู้สึกว่าเขาเหมือนหมาบ้าที่พร้อมจะขย้ำใครก็ได้คือต้องมัดเชือกไว้ตลอดเวลา เมื่อใดที่ปล่อยเชือกไว้เท่านั้นแหละไม่หยุดนั้นแหละคือความรู้สึกที่ผมนึกถึงมาริส แล้วพอวันแรกที่เขาได้เจอจาพนม มีการแนะนำให้รู้จักกันแล้วก็ลองให้เขาโชว์ความสามารถของแต่ละคน จริงๆแล้วผมอยากได้ความรู้สึกที่ว่าเขา2คนสู้กันเองให้เหมือนว่าการสู้กันครั้งนี้ผ่านกระบวนการขั้นตอนการคิดออกแบบท่าต่อสู้ในฉากที่เราถ่ายทำออกมาด้วยตัวเขาทั้ง2คนกันเอง ซึ่งแน่นนอนวันที่เราถ่ายทำฉากแรกที่เขาต้องสู้กันความรู้สึกเหมือนเขายังกินไม่อิ่ม ยังเล่นกับมันอยู่ ยังสนุกกับมันอยู่ การที่เราถ่ายฉากวันนั้นรู้สึกว่ามันเบรคไม่ได้เลย แล้วมีความจริงจัง เสียงตุ๊บตั๊บ มันดังมาแบบมันเป็นเสียงจริงๆ ของการต่อสู้จริงๆเลย ซึ่งเสียงเล่านั้นผมก็ใส่เข้าไปในหนังด้วย ซึ่งถ้าเราดูแล้วจะรู้สึกว่าอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นในหนังประเภทการต่อสู้แบบนี้แต่ว่าอันนั้นเป็นความรู้สึกจริงๆที่เขาได้รับ    

Q:แน่นอนว่ายังมีอีกหนึ่งนักสู้ที่มองข้ามไม่ได้เพราะเธอคือจีจ้า ญาณิน และเชื่อว่าหลายๆคนเฝ้าจับตารอดูการปะทะแอ็คชั่นร่วมกันครั้งแรกระหว่างจาพนม และจีจ้าญาณิน

P: ครับพูดถึงจีจ้าในเรื่องนี้รั บบทเป็นหลานของผู้มีอิทธิพลเกี่ยวกับวงการช้างไทย ซึ่งมีเชื้อสายมาจากจีนเรียนวิชามาจากเมืองจีนมีน้องฝาแฝดอีกคนหนึ่ง ซึ่งเราเลยวางว่าให้จีจ้ามีความเชี่ยวชาญการใช้อาวุธฝังเข็ม การต่อสู้ซึ่งสามารถสู้ด้วยหมัดมือเปล่า รวมทั้งมีเข็มเป็นอาวุธซึ่งบทที่เขาได้รับจะต้องมีการต่อสู้กับจา พนม ซึ่งเราเชื่อได้เลยว่าคนอยากเห็นจีจ้าสู้กับจา พนม และก็รวมทั้งนักต่อสู้เก่งๆหลายๆคนซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมดเลยที่เขาจะต้องรับมือ เรื่องนี้เขาจะต้องรับบทเป็นคนปกติซึ่งสะสมความแค้นที่จะต้องออกมาในแววตา และก็ในสถานการณ์ที่เขาจะต้องเผชิญอันนี้เป็นสิ่งที่จะมีความแตกต่างจากบทบาทอันเก่าที่เขาเคยเล่น

ฉากที่เขาสู้กับจาพนมอันนั้นเป็นสิ่งที่จ้าจะต้องใส่เต็มที่ซึ่งดูจากการแสดงเขาก็เต็มที่ เพราะเขามีความคุ้นเคยกันมาก่อนในชีวิตจริง เคยซ้อมกันมาก่อน เพราะฉะนั้นเวลาเข้าฉากนี้จ้าเข้าก็ไม่ยั้งเขาเต็มที่เลยซึ่งจาเขาก็โอเค  ไม่แค่นั้นอย่างที่บอกว่าจีจ้าจะต้องมีคู่ต่อสู้หลายคนรวมทั้งนักสู้ที่เป็นชาวต่างชาติอย่างมาริส อย่างฉากที่จีจ้าสู้กับมาริส ซึ่งเรามองว่ามาริสเป็นคนที่เร็วมากน่ากลัวมากอันตรายมาก แต่ว่าจีจ้าจะต้องมีการต่อสู้ในลักษณะทีมเวิร์คของคู่แฝดฉะนั้นการออกแบบฉากจะต้องออกแบบเป็นการต่อสู้ที่มีลักษณะพิเศษการทำ2 คนให้เหมือนเป็นคนเดียวในการต่อสู้ซึ่งบางครั้งก็มีอาวุธมาช่วยด้วยซึ่งอาวุธของจีจ้ากับน้องจะต้องแตกต่างกัน อย่างฉากที่เวลาที่จีจ้าแอ็คชั่นกับมาริสซึ่งในการทำงานแบบนี้บางครั้งเราก็ไม่สามารถไปบล็อกอะไรเขาได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเป็นฉากที่ต้องใช้การต่อสู้ ใช้ความสามารถเฉพาะตัวด้วย อย่างกรณีมาริสกับจีจ้าฉากที่เขาเข้าฉากกันมันก็หยุดไม่ได้มารีสเป็นคนที่เร็วแล้วก็ต่อยแบบไม่ค่อยยั้ง แล้วจีจ้าก็ยังไงเขาก็เป็นผู้หญิงเฉพาะฉากนั้นที่เขาโดนมาริสอัดจะเห็นว่าอัดจริงๆโดนๆแบบกระแทกกันจริงๆดูแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ทั้งๆที่ผมก็อยู่กับฉากนี้มาเยอะ เราดูด้วยสายตาไม่มีทางที่จะเชื่อว่าจีจ้าจะเอาอยู่ เพราะฉะนั้นในเรื่องเราเลยจะต้องให้จีจ้ามีอาวุธเป็นตัวช่วย เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นโม้เกินไปที่ผู้หญิงจะคว่ำผู้ชายแบบนี้ได้

Q:นอกจากนักแสดงหลักๆแล้วทราบมาว่าด้วยความที่ต้มยำกุ้ง2-3Dเป็นโปรเจ็คต์ภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์มากๆงานนี้ก็เลยมีการระดมทีมงานที่เรียกได้ว่าคร่ำหวอดและอยู่เบื้องหลังหนังแอ็คชั่นทั้งของไทยเองและฮอลลีวู้ดมารวมตัวกันร่วมสร้างปรากฎการณ์ต้มยำกุ้ง2-3Dด้วยกัน

   P:  ครับหนังเรื่องนี้ทีมงานเบื้องหลังเราถือว่าเราได้มือดีอันดับหนึ่งของประเทศไทยทั้งหมดมาร่วมกัน เริ่มตั้งแต่ พันนา, เซ้ง(กวี ศิริคเณรัตน์) มาจนถึงท็อป วีระพลนะครับ อย่างพันนาเราคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากเขาเป็นมือหนึ่งของเมืองไทยทำงานมาตั้งแต่องค์บาก เป็นผู้ให้กำเนิดจาพนม,จีจ้า มาจนถึงภาคนี้เราก็ระดมทีมงานทีมเดิมมาทำงานอีกครั้งหนึ่ง ส่วนท็อปเป็นมือหนึ่งของพันนา ผมได้ทำงานอย่างเต็มตัวกับท็อปในช็อกโกแลตซึ่งเราก็จะได้เห็นว่า ท็อปมีความสามารถเป็นที่ยอมรับว่าทำให้ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งคือจีจ้า ที่มาเป็นนักสู้ที่โลดแล่นในภาพยนตร์ได้ชนิดที่ว่าครองใจคนดูไปแล้วทั่วโลก ส่วนเซ้งเป็นคนที่มีผลงานทั้งหนังไทยและหนังต่างประเทศ โดยเฉพาะหนังต่างประเทศ (อยู่เบื้องหลังฉากแอ็คชั่นเสี่ยงตายในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดอย่างRAMBO4, THE HANGOVER2) เป็นSTUNT COORDINATOR ระดับฮอลลีวู้ดที่ทำให้แบรนด์ Thai Stuntmen สู่ระดับสากล มาร่วมเสริมทัพความยิ่งใหญ่ให้กับฉากแอ็คชั่นของต้มยำกุ้ง2 อย่างกรณีของเซ้งเขาจะถนัดการถ่ายทำประเภทเสี่ยงอันตรายทั้งในเรื่องของความเร็ว ความสูงต้องมีเครื่องมือสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นพิเศษฉากอันตรายเหล่านั้นต้องมีการออกแบบที่ถูกต้องเลือกใช้เครื่องมืออย่างเหมาะสมซึ่งในเรื่องนี้เซ้งทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดี

อย่างฉากที่จาจะต้องกระโดดสะพานกาญจนาภิเษกซึ่งเป็นสะพานที่มีความสูงมากเราก็ออกแบบให้Saveที่สุดในการทำงาน นอกจากจะsaveที่สุดแล้วภาพจะต้องออกมาด้วยภาพที่หวือหวาที่สุดด้วยคือVisualออกมา ต้องตรึงคนดูให้ได้  ซึ่งเซ้งก็ทำได้ดีมากๆและก็ปลอดภัยไม่มีใครบาดเจ็บ รวมทั้งเราจะต้องเห็นStuntทุกคนตกสะพานจริงๆตกไปพร้อมกับมอเตอร์ไซด์เป็นสิ่งที่ตกกันจริงๆไม่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วย และรวมไปถึงฉากรถดริฟท์ เราก็ได้มือดริฟท์รถมือหนึ่งของไทยชื่อหนึ่งเขามีผลงานในการแข่งขันรถดริฟท์ที่เก่งที่สุดในประเทศไทย มีผลงานในหนังโฆษณาต่างประเทศมาหลายเรื่องอยู่เหมือนกันซึ่งในเรื่องนี้เราต้องฝากชีวิตของจาพนมไว้บนหลังรถ คือต้องมีการดริฟท์จริงๆซึ่งจะผิดพลาดไม่ได้เลยเพราะเท่ากับอันตรายถึงชีวิตได้ ก็เป็นฉากที่ทีมงานทุกคนจะลุ้นมากที่สุดเพราะถือว่าเป็นฉากที่อันตรายที่สุดภาพที่ออกมาก็มีทั้งตื่นเต้นทั้งน่ากลัวสวยงาม รวมทั้งเหล่านักสู้นักแสดงแอ็คชั่นที่เคยร่วมงานกันมาหลายเรื่องอาทิ คาซู (พระเอกจีจ้าดื้อสวยดุ) รวมทั้งทีมStuntโคตรสู้โคตรโส เรามีการสู้กันท่ามกลางเปลวไฟที่เราdesignให้เกิดไฟขึ้น ทุกคนจะต้องมีไฟติดตามตัวสู้ไปไฟติดไปด้วย อันนั้นก็เป็นอันตรายอีกแบบ แต่ว่าทุกคนเป็นทีมที่ถือว่ามีความสามารถจริงๆ ทำฉากอันตรายให้ทุกคนไม่มีใครเป็นอันตรายแม้แต่คนเดียว แต่ว่าภาพออกมาน่ากลัวมากฉากสู้กันกลางไฟคือทุกคนมีไฟติดที่ตามตัวตามเท้าด้วยเวลาเตะกันไฟก็ติดหน้าไปด้วยตัวจาโดนด้วย ตัวนักต่อสู้ก็โดนกันด้วยคือโดนไฟกันจริงๆ ก็เพื่อที่เราต้องการให้หนังออกมาเป็นที่ประทับใจคนดูมากที่สุด 

Q:ในต้มยำกุ้งภาคแรกจะมีฉากone long take 4นาทีที่จาจะต้องสู้กับสตันท์ไปบนตึก4ชั้นในต้มยำกุ้ง2-3Dมีอะไรที่จะมาสร้างความหวือหวาแปลกใหม่ให้กับคนดู

    P: เราตั้งใจที่จะถ่ายแอ็คชั่นในแบบนันสต็อป พยายามที่จะให้คนดูได้เต็มอิ่มกับแอ็คชั่นต่อเนื่องแต่ไม่ได้เป็นone long take เป็นฉากที่คิดว่าน่าจะใช้เวลาถ่ายทำนานที่สุด ก็คงเป็นฉากแอ็คชั่นตั้งแต่จาสู้กับพวกมอเตอร์ไซด์ซึ่งฉากทั้งหมดในเรื่องความยาวประมาณ 14.50 นาที เราใช้เวลาถ่ายทำฉากนี้เกือบ 8 เดือนความยากหลายๆอย่างมันอยู่ที่โจทย์ที่เราตั้งไว้ว่าหนังเรื่องนี้เราต้องการที่จะเห็นภาพกรุงเทพฯ เราเรียกว่าเป็นฉากหลังในมุมมองที่หลายคนที่ยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน การถ่ายก็จะยากเป็นพิเศษอย่างกรณีถ่ายฮ.ช็อค(การเอากล้องขึ้นไปถ่ายบนเฮลิคอปเตอร์) ปกติแล้วฮ.ช็อตเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหนังทั่วๆไป แต่ว่าในประเทศไทยการถ่ายฮ.ช็อตเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เราถ่ายโดยต้องมีแอ็คชั่นอยู่ข้างล่างด้วยโดยเฉพาะฉากที่มีมอเตอร์ไซด์ เป็นจำนวน300คันวิ่งอยู่ข้างล่าง เราต้องมีการเคลียร์พื้นที่ข้างล่างพร้อมกันกับการเตรียมการในการถ่ายทำบนท้องฟ้าซึ่งฉากนั้นมีการเตรียมการที่นานเหมือนกัน ยังมีเรื่องของดินฟ้าอากาศอีก กว่าจะถ่ายทำออกมาได้จำได้ว่าเราต้องยกเลิกการถ่ายทำไปประมาณ 2 ครั้งในการที่จะต้องรอให้สภาพอากาศอำนวย รวมทั้งประสบการณ์ของคนขับเฮลิคอปเตอร์ที่อาจไม่คุ้นเคยที่ขับเพื่อจะถ่ายหนังแบบนี้มาก่อนก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงสำหรับทีมงานด้วย รวมทั้งเป็นกล้อง3มิติที่มีน้ำหนักมากกว่ากล้องธรรมดาหลายเท่าด้วยที่ต้องไปอยู่บนเครื่องแล้วตากล้องต้องControlกล้องยื่นออกไปนอกเฮลิคอปเตอร์ด้วย อันนี้ต้องเรียกได้ว่าท้ายความสามารถและการทำงานของผู้กำกับภาพเลยทีเดียว

Q: ในต้มยำกุ้งภาคแรกมียกกองไปถ่ายทำที่ซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย แต่พอภาค2ถ่ายเฉพาะในเมืองไทย ระดับดีกรีความมันส์จะไม่ถูกลดลงหรือ

     P: สำหรับการถ่ายทำทุกอย่างในประเทศไทยบางคนอาจจะคิดว่ามันอาจจะไม่ตื่นตาตื่นใจเท่ากับไปถ่ายที่ซิดนี่ย์ เหมือนภาคแรก แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย เพราะว่าการถ่ายทำที่ต่างประเทศนี่หลายๆอย่างโดยเฉพาะการทำอะไรที่เสี่ยงหรือเกี่ยวกับอันตรายบางอย่างมันจะมีข้อห้ามข้อจำกัดในการทำงานพอสมควรบางครั้งเราไม่สามารถถ่ายได้อย่างที่เราต้องการ แต่พอเรามาถ่ายในกรุงเทพซึ่งเปรียบเสมือนบ้านของเราเอง เราสามารถใช่จินตนาการถ่ายทำได้เต็มที่ อันตรายที่มันจะเกิดมันเหมือนเราเล่นกันในบ้านของเรา เพราะ ฉะนั้นฉากต่างๆที่เราระดมไอเดียคิดดีไซน์ใส่เข้าไปมันจึงได้อย่างที่เราต้องการเราจึงสนุกได้อย่างที่เราอยากจะทำเต็มที่ ต้องลองดูครับว่าเราจะเห็นหนังแอ็คชั่นในกรุงเทพในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย หรืออย่างมีอยู่ฉากหนึ่งที่จาพนมต้องขับมอเตอร์ไซด์หลบพวกกลุ่มแว๊นซึ่งเราอยากให้เห็นว่าพวกแว๊นมาจากทุกทิศทุกทาง ซึ่งเราถ่ายทำที่ห้าแยกสำคัญของกรุงเทพใกล้ๆกับวงเวียน22 แล้วภาพออกมาสวยงามมากๆ เราก็ต้องมีการปิดถนนซึ่งการจราจรแออัดมากๆแล้วก็ต้องเสียเงินกับฉากนั้นเยอะมากๆ มากที่สุดเลย แต่ก็ได้ภาพที่ออกมาสวยงามจริงๆ สำหรับฉากนี้เราต้องปิดจราจรหมดทุกแยกเลย ก็ต้องกราบขออภัยพ่อแม่พี่น้องที่สัญจรไปบริเวณนั้นในวันที่เราถ่ายทำด้วย

Q: ทำให้ในต้มยำกุ้ง2-3Dมีภาพแอ็คชั่นที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างฉากจาพนมเสี่ยงตายกระโดดสะพานกาญจนาภิเษกที่ว่ากันว่าสูงที่สุดในประเทศไทย

     P.ใช่ครับ เพราะจา พนมคงไปโดดสะพานฮาร์เบอร์บริดจ์ที่ออสเตรเลียไม่ได้ แต่นี่คืออีกหนึ่งฉากพิเศษที่เราจะได้เห็นจาต้องถูกเหวี่ยงตัวไปนอกสะพานซึ่งเราไปถ่ายทำกันที่สะพานกาญจนาภิเษก ซึ่งถือว่าเป็นสะพานขึงที่มีช่วงกลางแม่น้ำยาวที่สุดในประเทศไทย มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 52 เมตร และถือว่าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราต้องใช้เครนที่มีความยาว 30 เมตร ไปตั้งบนยอดสะพาน และก็เหวี่ยงตัวจาไปนอกสะพาน  ซึ่งในฉากนั้นจาก็เล่นด้วยตัวเองจริงๆและเหวี่ยงจริงๆซึ่งเป็นงานที่จาพนมเขากล้าแสดงออกมาด้วยตัวเองถึงภาพออกมาแม้จะเห็นเป็นแค่คนตัวเล็กๆในเฟรม แต่ยืนยันว่าเป็นเขาจริงๆ

Q: ท้ายนี้ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์พี่ปรัชอยากฝากอะไรกับภาพยนตร์เรื่องต้มยำกุ้ง2-3Dที่ทุ่มเทใจถ่ายทำกันนานถึง2ปีและตอนนี้พร้อมแล้วที่จะปรากฎออกมาให้คนทั้งโลกได้สัมผัสกัน 

    P: ก็ถือว่าเป็นงานที่สำคัญกับทุกคนที่มีส่วนร่วมมากๆ เพราะเรารู้สึกว่าเรากำลังรวมตัวมาทำงานที่ทุกคนจับตาดูและรอคอยที่จะเห็นมัน เพราะฉะนั้นทุกคนจึงต้องทุ่มเทแล้วก็จริงจังกับมันจริงๆ ทุกคนจะต้องระดมIdeaรวมทั้งความกล้าความสามารถรวมทั้งการฝึกซ้อมการเตรียมการที่ดีทุกอย่างให้งานชิ้นนี้ออกมาให้ดีที่สุด ซึ่งเราก็หวังว่าเรื่องนี้คงเป็นผลงานที่ไม่ทำให้คนดูที่รอคอยผิดหวังทีมงานทุกคนถือว่าสำคัญหมดไม่ว่าจะเป็นทีมงานหลัก รวมถึงทีมงานที่มีส่วนร่วมทุกคนอย่างน้อยใน1กองในหนึ่งวันที่เราออกไปกองถ่ายเราจะต้องมีประมาณ200ชีวิต แล้วอย่างมากบางวันก็เป็นพันชีวิตซึ่งเราก็ผ่านมาได้อย่างปลอดภัยไม่มีอันตรายถึงชีวิตกับใครเลย แล้วคุณจะได้เห็นหนังแอ็คชั่นที่ถือว่ามีความยิ่งใหญ่สำหรับพวกเราทุกคนซึ่งเป็นหนังไทย3มิติแอ็คชั่นเรื่องแรกก็ว่าได้ ซึ่งหวังว่าคนดูจะพึงพอใจกับเรื่องนี้ อยากให้มาลองดูกันครับ ต้มยำกุ้ง2 (3D) 23 ตุลาคม นี้ครับ

อัลบั้มภาพ 17 ภาพ

อัลบั้มภาพ 17 ภาพ ของ ปรัชญา ปิ่นแก้ว, 8 ปีกว่าจะมาเป็น ต้มยำกุ้ง 2 (ตอนจบ)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook