เจาะลึกกว่าจะมาเป็น The Hunger Games: Catching Fire
“นี่คือเกมล่าชีวิตครั้งที่ 75 เครื่องบรรณาการจะถูกคัดเลือกมาจากผู้พิชิตที่ยังมีชีวิตอยู่” ประธานาธิบดีสโนว์
ชัยชนะของแคทนิสดูเหมือนกับจะเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน แต่การแข่งขันครั้งต่อไปของเกมล่าชีวิตนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และในปีนี้ ถือเป็นการแข่งขันครั้งพิเศษที่ถือเป็นการครบรอบอีกครั้งของ ควอเตอร์ เควล ซึ่งทำให้อดีตผู้พิชิตต้องกลับมารลงสนามประลองกันอีกครั้ง และหนึ่งในนั้นก็คือแคทนิส ผู้ที่ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเธอจะต้องกลับไปสู่สนามที่แห่งนั้นอีก
The Hunger Games: Catching Fire คือผลงานภาคต่อของภาพยนตร์บล็อคบลัสเตอร์สุดฮิตแห่งปี 2012 อย่าง The Hunger Games ซึ่งมาสร้างจากวรรณกรรมของ ซูซาน คอลลอนส์ ที่สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลก โดยในภาคล่าสุดนี้จะทวีความเข้มข้นเร้าใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังจะพาผู้ชมไปสู่มิติใหม่ในเรื่องราวของนครพิเน็มและชีวิตของสาวน้อยแคทนิส เอเวอร์ดีนที่จะซับซ้อนและเผชิญปัญหามากขึ้น
“เราอยากที่จะให้ทุกรายละเอียดของภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นออกมายิ่งใหญ่ และสร้างสรรค์มากขึ้น” นีน่า จาคอบสัน กล่าว “แต่เราก็จะยังคงความเป็นหนังสือไว้เหมือนกับที่เราเคยทำในภาคแรก”
ประธานบริษัทไลอ้อนเกตส์ อีริค ฟิก ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “Catching Fire นั้นมีความแตกต่างกับThe Hunger Games มาก ในภาคนี้แคทนิสจะถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องกลับเข้าสู่สนามประลอง ซึ่งทำให้เธอได้รับภาระอันใหญ่หลวงและมีความกดดันอย่างมาก ซึ่งเราเชื่อว่ามันจะทำให้เราสามารถดึงเอาอารมณ์ที่ซับซ้อนและความยิ่งใหญ่ออกมาสู่ภาพยนตร์ได้มากขึ้น”
ไม่เพียงแค่เรื่องราวต่างๆในพาเน็มที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป แต่ใน Catching Fire อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนก็คือตัวตนของแคทนิสจากเด็กสาวผู้เงียบขรึม ก็ได้เติบโตขึ้นกล่าวเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่ง
“เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ในภาคนี้เราจะได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของแคทนิส” จาคอบสันกล่าว “เราได้เห็นเธอเติบโตขึ้น กลายเป็นคนที่สามารถจะตัดสินชะตาชีวิตตนเองได้ เราจะได้เห็นแง่มุมด้านอื่นๆในตัวเธอ อาทิเช่น ในแง่ศีลธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม เธอตัดสินใจว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆและกลายมาเป็นฮีโร่ ทั้งที่ในใจจริงๆแล้ว สิ่งที่เธอต้องการจะทำก็คือกลับสู่บ้านที่เธอเคยอยู่”
แคทนิสท่ามกลางความวุ่นวาย
เรื่องราวในภาคแรกอย่าง The Hunger Games ได้นำแคทนิส เอเวอร์ดีนไปพบกับประสบการณ์ที่เธอคิดว่าเป็นที่สุดแล้วของขีดจำกัดทั้งในด้านร่างกายและจิตใจของเธอ สิ่งเดียวที่เธอต้องการก็คือการกลับไปหาครอบครัวและเพื่อรักของเธออย่าง เกล ฮอว์ธอร์น แต่เรื่องราวกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่แคทนิสคิด หญิงสาวต้องถูกหลอกหลอนโดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นและต้องถูกควบคุมชีวิตโดยแคปิตอล นอกจากนี้ ในปัจจุบันเธอยังได้กลายเป็นบุคคลสาธารณะ “สาวน้อยผู้มากับไฟ” ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง.
นี่คือการกลับคืนสู่บทบาทครั้งใหม่ของ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากผลงานเรื่อง The Hunger Games เธอคือนักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์อย่าง Silver Linings Playbook
“แคทนิสยังคงเป็นตัวละครที่ฉันรัก ในภาพยนตร์ภาคแรกเธอเป็นวีรสตรีที่จริงๆแล้วต้องการที่จะปกป้องครอบครัวของเธอเท่านั้น แต่ในคราวนี้เธอมีภาระที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เธอรู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบในผู้คนอีกมากมาย”
ในฐานะผู้พิชิตจากการแข่งขันครั้งที่ผ่านมา แคทนิส จะปลอดภัยจากการแข่งขันไปตลอดชั่วชีวิตของเธอ แต่ทว่ากฏกลับถูกเปลี่ยนแปลงในควอเตอร์ เควลครั้งล่าสุด ซึ่งจะจัดขึ้นทุกๆ 25ปี โดยในปีนี้มันจะกลายเป็นการแข่งขันของผู้พิชิต ซึ่งแคทนิสมั่นใจว่านี่เป็นแผนการที่มุ่งร้ายมาที่ตัวเธอ “ใน Catching Fire แคทนิสเริ่มระวังตัวมากขึ้นว่าจะมีผู้คนจับตามองเธออยู่ เธอรู้ว่าตัวเองจำเป็นต้องเลือกระหว่างการปกป้องครอบครัวหรือการต่อสู้เพื่อประชาชนที่เชื่อมั่นในตัวเธอ"
นอกจากนี้ แคทนิสยังต้องเผชิญหน้ากับความซับซ้อนที่มากขึ้นในเรื่องรางความสัมพันธ์ระหว่างเธอและพีต้า เมลลาร์ค ซึ่งได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของแคปิตอลต่อหน้าสื่อ สิ่งที่แคทนิสต้องการคือการย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เธอสามารถใช้ชีวิตแบบธรรมดาร่วมกับเกล “ทุกๆสิ่งแตกต่างไปจากเดิมมาก สำหรับแคทนิส” ลอว์เรนซ์กล่าว “มีบางแง่มุมในชีวิตของเธอที่เกลไม่สามารถเข้าใจได้อีกต่อไป ทั้งๆที่ปกติแล้วเขาคือคนที่เข้าเธอได้ดีที่สุด และตอนนี้มีอีกแง่มุมในชีวิต ที่มีเพียงพีต้าเท่านั้นที่เข้าใจเธอ”
เกมนี้จะกลายเป็นอะไรที่แตกต่างไปสำหรับแคทนิส เพราะในคราวนี้เธอกล้า เธอแกร่งและเธอมีประสบการณ์ “เกมนี้จะต่างออกไปค่ะ เพราะผู้เข้าแข่งขันทุกคนเคยมาอยู่ในสนามประลองมาก่อน ทุกคนล้วนมีประสบการณ์" ลอว์เรนซ์กล่าว “แต่สนามประลองในครั้งนี้จะเป็นอะไรที่แคทนิสไม่คุ้นเคยมาก่อน เธอเติบโตมาในป่า แต่ป่าในครั้งนี้จะกลายเป็นป่าที่นำไปสู้ความตาย”
เช่นเดียวกับแคทนิส ลอว์เรนซ์ ก็ต้องฝึกฝนและเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อลงสู่สนาม เธอฝึกฝนการใช้ธนู การวิ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง “การแสดงฉากแอคชั่นในคราวนี้เป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ค่ะ มันคุ้มค่ามากกับการเตรียมตัวนานนับเดือนเพื่อพร้อมที่จะทำอะไรเช่นนี้” ลอว์เรนซ์กล่าว
ผู้กำกับ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ พูดถึงการแสดงของ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ว่า “เธอเป็นตัวละครตัวนี้จริงๆครับ ลอว์เรนซ์แสดงให้เห็นถึงแง่มุมใหม่ๆให้แก่ภาพยนตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกคนจะได้เห็นพัฒนาการของแคทนิสจริงๆ เธอแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก เธอแสดงมันออกมาจากสัญชาตญาณจริงๆ"
พาเน็มในมุมกว้าง
ใน The Hunger Games ภาพยนตร์ได้แสดงให้ผู้ชมเห็นถึงความเป็นพาเน็มที่มีรูปแบบเฉพาะตัว ทั้งผู้คนในแต่ละเขตและผู้คนในแคปิตอล แต่ใน Catching Fire ทุกคนจะได้เห็นพาเน็มในมุมกว้างมากขึ้น และสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ทีมผู้อำนวยการสร้างต้องตามหาตัวผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์เฉพาะตัวและมีความเข้าใจในเรื่องราวของหนังสือเป็นอย่างดี
ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบคุณสมบัตินี้ในตัวของ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ เจ้าของผลงานภาพยนตร์ไซไฟอย่าง I Am Legend ซึ่งนำแสดงโดย วิล สมิธ “เราพยายามมองหาคนที่มีความหลงใหลในหนังสือเรื่องนี้จริงๆ และจากการพูดคุยของพวกเรา ฟรานซิสมีความเข้าใจอย่างดีในตัวละครและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเหล่านั้น” นีน่า จอคอบสัน กล่าว
ลอว์เรนซ์มุ่งมั่นจะสร้างภาพยนตร์ในรูปแบบที่ทำให้ผู้ชมมีความเข้าใจในแก่นของพาเน็มมากขึ้น ทั้งเรื่องราวของแคปิตอลและผู้คนที่อยู่ที่นั่น “Catching Fire จะเปิดโลกของพาเน็มและทำให้คุณได้เข้าใจในตัวละครได้มากยิ่งขึ้น มันเป็นภาพยนตร์ที่ซับซ้อนในการสร้างมากที่สุดเท่าที่ผมเคยทำงานมา ผมรู้สึกภูมิใจมากในสิ่งที่สามารถสื่อออกมาได้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ และคิดว่าแฟนๆน่าจะรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการดูมันครับ”
เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างตรงตามความจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฟรานซิสทำงานอย่างใกล้ชิดกับ ซูซาน คอลลินส์ ผู้เขียนในการวางโครงเรื่องสำหรับการเยี้ยนบทของภาพยนตร์ “ไม่มีใครที่รู้เกี่ยวกับเรื่องราวของพาเน็มดีไปกว่าซูซาน เธอเป็นส่วนสำคัญในการหาวิธีเล่าเรื่องที่เหมาะสมที่สุดให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้”
หนึ่งในความตื่นเต้นและความท้าทายที่สุดสำหรับฟรานซิสก็คือการนำผู้ชมไปพบกับสนามประลองในรูปแบบใหม่ ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในควาสร้างสรรค์ของเขา ตั้งแต่ฝนเลือดไปจนถึงรายละเอียดต่างๆที่เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเขาคิดว่าเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ “สนามประลองในครั้งนี้ไม่เหมือนใคร รายละเอียดพิเศษทั้งหมดทุกจัดการขึ้นโดยฝีมือของเกมเมคเกอร์ ซึ่งมีบทบาทมากในภาพยนตร์เรื่องนี้"
วิธีการที่ลอว์เรนซ์เลือกสำหรับการถ่ายทอด Catching Fire ออกมาได้อย่างลึกซึ้งขึ้นก็คือการใช้เทคโลโนยีในการถ่ายทำที่มีคุณภาพสูงอย่าง IMAX เขาได้เลือกใช้วิธีนี้ในการถ่ายทำฉากตั้งแต่เริ่มต้นเกม “ผมอยากให้สนามประลองเป็นฉากที่กระตุ้นความรู้สึกจากภายในออกมาได้ ราวกับว่าทุกคนได้กลายเป็นแคทนิส การได้เห็นโลกผ่านมุมมองแบบ IMAX จะนำทุกคนดำดิ่งสู่จินตนาการ” ลอว์เรนซ์กล่าว
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ