วิจารณ์หนัง Need For Speed
วิจารณ์ Need For Speed
เราคงไม่อาจจะปฏิเสธได้ถึงความสำเร็จของหนังตระกูลรถซิ่ง รถแข่ง ซึ่งต้องกล่าวขอบคุณ แฟรนชายส์หนัง The Fast and the furious ที่ก่อร่างสร้างตัวและให้พื้นที่กับหนังประเภทนี้ แม้ว่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องโยงใยกับหนังประเภทนี้ก็หนีไม่พ้นปัจจัยไม่กี่ประการที่จะช่วยดึงดูดผู้ชม (ซึ่งเจาะกลุ่มผู้ชายเป็นหลัก) อันประกอบไปด้วย 1.รถคันงามมูลค่าหลายล้าน 2.ฉากแอ็คชั่นพังรถ 3.ฉากแข่งรถประลองความเร็ว 4.ผู้หญิงเซ็กซี่ 5.เพลงประกอบภาพยนตร์สุดเร้าใจ ปัจจัยเหล่านี้นับได้ว่าเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในหนังแนวนี้เลย
หากลองย้อนกลับมามองใน Need For Speed แล้ว นี่เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากเกมชื่อดังที่สั่งสมกลุ่มแฟนคลับมาอย่างยาวนาน เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่เกมเมอร์ต้องรู้จักหรืออย่างน้อยก็ต้องคุ้นชื่อกันบ้าง เกมภาคแรกนั้นออกมาในปี 1994 และวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่องตลอดจนกระทั่งปี 2013 สิริรวมทั้งสิ้น 20 ภาค ซึ่งค่ายเกมอย่าง Electronic Arts ก็สามารถทำกำไรได้จากการขายเกมได้เป็นกอบเป็นกำ และแน่นอนว่าการขยายให้มันสามารถก้าวไกลไปกว่าเกมก็คือการผลักดันให้กลายเป็นภาพยนตร์
อย่างไรก็ตามหนังที่ถูกดัดแปลงมาจากเกม น้อยเรื่องนักที่เราจะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าว่ามันประสบความสำเร็จถ้าหากจะให้เอ่ยชื่อ ก็คงมีแค่เพียง Resident Evil ที่ยังงอกภาคต่อออกมาได้เรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าจะจบง่ายๆ (แม้ว่าสตูดิโอจะลั่นออกมาแล้วว่าภาคที่ 6 จะเป็นภาคสุดท้ายก็ตาม) และหนังที่ดัดแปลงมาจากเกมแล้วคว่ำสนิทเจ๊งไม่เป็นท่าก็คือ Prince of Persia จากค่ายดิสนีย์ ทั้งที่ตัวหนังก็ไม่ได้เลวร้าย มิหนำซ้ำมันยังเพียบพร้อมไปด้วยความสนุกและสเปเชียลเอฟเฟคสุดอลังการ ด้วยเหตุผลมากมายหลายประการที่เราไม่สามารถจะหาคำตอบได้ว่าทำไมหนังที่ดัดแปลงมาจากเกมนั้นจึงไม่สามารถทำเงินได้เท่าที่ควร
สถานการณ์เดียวกันกับ Need for Speed เมื่อหนังใช้ทุนสร้างถึง 66 ล้านเหรียญกลับทำเงินในวันเปิดตัวบนบ๊อกออฟฟิศได้แค่เพียง 17 ล้านเหรียญเท่านั้นและตอนนี้ก็ทำเงินเก็บรายได้ไปในอเมริกาเหนือแค่เพียง 40 ล้านเท่านั้น ซึ่งพิจารณาจากสภาพแล้วหนังอาจจะสามารถ "คืนทุน" ได้ในต่างประเทศ เมื่อเสร็จสิ้นการฉาย และแน่นอนว่าอาจจะส่งผลต่อสตูดิโอในการอนุมัติสร้างภาคต่อ
เมื่อลองวิเคราะห์ดูให้ดีเราจะพบว่าพล็อตเรื่องของหนัง Need for Speed นั้นค่อนข้างเปล่ากลวงและปราศจากความน่าสนใจใดๆ "นักซิ่งรถผู้โดนป้ายความผิดจนต้องติดคุก เมื่อเขาถูกปล่อยตัว เขาจึงต้องการแก้แค้น" และด้วยทีท่าแบบธรรมดา ตัวหนังจึงไม่สามารถดึงดูดกลุ่มคนดูทั่วไปได้สักเท่าไหร่ ประกอบกับพระเอกของเรื่องอย่าง "แอรอน พอล" ที่หน้าตาห่างไกลคำว่า "หล่อ" พอสมควร จึงทำให้ดีกรีของถูกลดทอนความน่าสนใจลงไปอีก (โดยเฉพาะในการเรียกกลุ่มเป้าหมายรองอย่างสาวๆให้มาดูหนังแบบนี้)
แต่หลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์แล้วเราจะพบว่า Need for Speed มีบทหนังที่อ่อนปวกเปียกและ "เลอะเทอะ" อยู่ไม่น้อยไปกับตรรกะในการเดินทางของพระเอกกับการไปร่วมการแข่งขันเดอ ลีองเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตน ซึ่งเบี้ยบ้ายรายทางหนังก็ใส่สถานการณ์แอ็คชั่นโครมครามเข้ามาเพื่อสามารถต่อสายพานให้โครงเรื่องที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเดินทางไกล ดูน่าสนใจขึ้นมา ซึ่งในจุดดังกล่าวก็เรียกว่าผู้กำกับอย่าง สก็อต วอห์ ก็ดูแลฉากเสี่ยงออกมาได้ลุ้นมันส์ระทึกจนสะกดสายตาผู้ชมได้เป็นอย่างดี สมกับที่เคยประกอบอาชีพสตันท์แมนมาก่อน เพราะนอกจากจะมีการใช้มุมกล้องเสมือนให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกับเป็นคนที่นั่งอยู่ในรถเองแล้ว ยังรู้จังหวะในการตัดต่อที่ทำให้คนดูร่วมลุ้นไปกับตัวละครได้เป็นอย่างดี และมีฉากชวนสะดุ้งโหยงแบบไม่ทันตั้งตัวอีกต่างหาก
สิ่งที่ค่อนข้างน่าเสียดายก็คือ Need for Speed เป็นความบันเทิงแบบชั่วครู่ชั่วยาม เนื่องจากการแสดงของนักแสดงส่วนใหญ่ที่แข็งมะลือทื่อยิ่งกว่าเหล็กโครงรถแลมโบกีนี่ในเรื่อง ทำให้ฉากดราม่าหรือฉากที่ต้องการแสดงอารมณ์นั้นดูประดักประเดิดและเหมือนเป็นการท่องบทของนักแสดง โชคยังดีที่แอรอน พอลที่สั่งสมประสบการณ์การแสดงมาจากซีรีย์ Breaking Bad ยังเล่นฉากที่ต้องเล่นอารมณ์หนักๆเช่นคาดคั้นน้ำตา หรือแสดงอารมณ์ครุ่นคิด เขาก็ถ่ายทอดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ภายในของตัวละครโทบี้ออกมาได้เท่าที่บทจะเอื้ออำนวย
เมื่อมองภาพรวมแล้ว Need for Speed จัดได้ว่าเป็นหนังที่สามารถดูฆ่าเวลาได้โดยไม่เสียดายเงินแต่อย่างใด คนชอบรถน่าจะเป็นปลื้มได้ไม่ยากเนื่องจากรถที่นำมาใช้ในเรื่องเรียกได้ว่าราคาเหยียบ 7 หลักเหมือนกัน หนุ่มๆว่ายังไงกันบ้างครับหลังจากที่ได้ชมแล้ว เห็นว่ากันว่าเวอร์ชั่น 4DX ยิ่งมันส์เป็น 2 เท่าใครชมในเวอร์ชั่นอะไรมาเล่าสู่กันฟังบ้างก็ดีครับผม
ส่วนพริตตี้ปลาสลิดยกให้
3 ดาวจาก 5 ดาวครับ
ตัวอย่าง หนัง Need for Speed