วิจารณ์หนัง X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST
วิจารณ์ X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST
ความโดดเด่นของแฟรนชายส์ X-MEN ในภาคนี้อยู่ตรงไอเดียน่าสนใจตรงที่ DAYS OF FUTURE PAST เป็นการนำตัวละครและนักแสดงจาก X-Men ในเจนเนอร์เรชั่นเดิม เอามาผนึกกำลังร่วมกับนักแสดงเลือดใหม่ที่มาจากภาค First Class อีกทั้งยังได้ผู้กำกับอย่าง ไบรอัน ซิงเกอร์ ผู้ปลุกปั้นหนังภาคแรกในปี 2000 ในกลายเป็นหนังฮิตในปีนั้นและทำรายได้อย่างงดงามจนแฟรนชายส์หนังเรื่องนี้เดินทางมีภาคต่อเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี 2014 และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดสร้างในช่วงเวลาอันใกล้มากำกับ
เนื้อหาสาระของ X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST พูดถึงโลกอนาคตเมื่อมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มสุดท้ายพยายามกระเสือกกระสนจะเอาชีวิตรอดเนื่องจากหุ่นยนต์เซนทิเนลที่ถูกผลิตขึ้นมาไว้กำจัดเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์โดยเฉพาะ แต่ด้วยพลังพิเศษของ คิตตี้ ไพรด์(อัลเลน เพจ) จึงสามารถช่วยโยกย้ายจิตของผู้อื่นกลับไปยังอดีตเพื่อเปลี่ยนแปลงบางอย่างทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตไม่ซ้ำรอยเดิม
เมื่อมนุษย์กลายพันธุ์ถูกต้อนให้จนมุมเข้าไปทุกที ศาสตราจารย์ชาลล์ ซาเวียร์ (แพทริค สจ๊วร์ต) จึงคิดแผนที่ว่าเหตุการณ์สิ้นสลายของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์เกิดขึ้นเพียงเพราะกระสุนนัดเดียวที่ มิสทีค(เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) ตัดสินใจปลิดชีพ โบลิวาร์ ทรัสต์(ปีเตอร์ ดิงค์เพจ) CEO ของบริษัททรัสต์ อินดัสทรีผู้คิดค้นหุ่นเซนทิเนลในอดีต
หนทางแก้ไขก็คือการส่งจิตใจของ วูลฟ์เวอรีน(ฮิวจ์ แจคแมน) ซึ่งทนทานต่อการข้ามกาลเวลาเป็นช่วงยาวๆเพื่อกลับไปเตือนเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ในอดีตไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมและหยุดยั้งการใช้งานของหุ่นเซนทิเนลให้ทันเวลา
ด้วยความน่าสนใจในเชิงเนื้อหาสาระที่ผู้เขียนบทอย่าง ไซมอน คินเบิร์ก ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือการ์ตูน “Days of Future Past” ภาคต้นฉบับที่เขียนขึ้นโดยคริส แคลร์มอนต์ ซึ่งพูดถึงเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นช่วงต้นยุค 70 ตอนที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงมีความวุ่นวายอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งสอดรับกับช่วงเวลาในภาค First Class ที่มีช่วงเวลาเกิดขึ้นในปี 1960
อันที่จริงแล้วตัวเรื่องราวใน Days of Future Past ใช้ทฤษฎีแนวควอนตัมฟิสิกส์เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องอันว่าด้วยทฤษฎีการวางทับซ้อนที่อธิบายว่าหากเราไม่ยอมให้เหตุการณ์ใดเกิดขึ้น เหตุการณ์นั้นก็จะไม่เกิดขึ้นจริง โดยตัวการสำคัญในหนังภาคนี้ก็คือวูลฟ์เวอรีน มนุษย์กลายพันธุ์เพียงคนเดียวที่มีความสามารถด้านการสมานแผลให้ตัวเองได้ โลแกนจึงอาสาออกตัวย้อนเวลากลับไปเพื่อกอบกู้อนาคต
ทว่าเหตุการณ์ในอดีตนั้น ชาร์ลก็จอมจ่อมอยู่กับอดีตที่เขาสูญเสียขาของตัวเองจนต้องใช้ยาช่วย ทำให้ตัวเองสามารถเดินได้ อีกทั้งการสูญเสีย เรเวน(มีสทีค) ไปเพราะความไม่เข้าใจกัน ส่วนแมคนีโต้ถูกจองจำอยู่ในคุกภายใต้เพนตากอน ในความผิดข้อหาที่เขาเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี้ ทั้งที่จริงแล้วตัวเขาพยายามจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีกระสุนของมือปืนแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จก็ตาม
แผนในการนำตัวแม็กนีโต้ออกมาจากคุกที่มีการป้องกันภัยสูงจึงได้รับความช่วยเหลือจาก ควิก ซิลเวอร์(อีวาน ปีเตอร์ส) มนุษย์กลายพันธุ์ที่ว่องไวเกินเสียง โดยตัวละครนี้นี่แหละเป็นสีสันสำคัญของหนังภาคนี้เลยก็ว่าได้ เนื่องจากช่วยสร้างเสียงหัวเราะ ได้ชมเหตุการณ์ที่ใช้ภาพวิชวลสุดเจ๋ง ตัวละครอื่นหยุดนิ่งในขณะที่เขาเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวคล่องแคล่วว่องไวกับฉากห้องครัวในเพนตากอน
เมื่อเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ในยุคอดีตพยายามจะตามหาตัวมิสทีคซึ่งเธอก็มีแผนการจะสังหารทรัสต์ในงานประชุมแห่งหนึ่ง ภายหลังจากเหตุการณ์สุดโกลาหล มิสทีคหนีรอดไปได้และทุกอย่างก็กลายเป็นความวุ่นวายเมื่อแม็กนีโต้แยกตัวออกมาเพื่อตามไปหยุดยั้งงานเปิดตัวหุ่นเซนทิเนลที่กำลังจะมีขึ้นในเวลาอันใกล้
ความสนุกของ X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST อาจจะอยู่ที่การเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งไม่ค่อยเน้นหนักในส่วนของฉากแอ็คชั่นใหญ่โต วิธีการเล่าเรื่องยังพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยกัน เยื่อใยและความถูกต้องตามครรลองคลองธรรม อารมณ์วู่วามสามารถเปลี่ยนอนาคตและโลกทั้งใบ
อย่างไรก็ตามเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่กลับมาให้เราเห็นหน้าแก้หายคิดถึงก็ได้แก่ สตอร์ม(ฮัลลี่ เบอร์รี่),โคลอสซัส(แดเนียล คัดมอร์), ไอซ์แมน(ชอว์น แอชมอร์) รวมไปถึงการเปิดตัวมนุษย์กลายพันธุ์หน้าใหม่อาทิ บลิงค์(ฟ่าน ปิงปิง) สาวที่มีพลังเทเลพอร์ทตัวเองได้, วอร์พาร์ท(บูบู สจวร์ต) มนุษย์ความเร็วสูงที่มีความสามารถในการรบ, ลูคัส บิชอป(โอมาร์ ไซ) มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีความสามารถดูดซับพลังงานรอบตัวแล้วปล่อยออกมาเป็นไฟ และซันสปอต(อลัน คานโต) ผู้สามารถดูดพลังงานแสงอาทิตย์แล้วเอามาทำให้ตัวเองแข็งแรงเหนือมนุษย์
ทั้งหมดทั้งมวล X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST เป็นเหมือนแค่สะพานเชื่อมเอาไว้กรุยทางให้กับเหตุการณ์ภาคต่อไปอย่าง X-Men: Apocalypse ที่วางโปรแกรมฉายไว้ในปี 2016 ซึ่งจะกลับไปเล่าเรื่องราวของตัวละครในยุค First Class อีกครั้ง
ให้ 4 คะแนนจาก 5 คะแนน
@พริตตี้ปลาสลิด