วิจารณ์หนัง Million Dollar Arm
วิจารณ์ Million Dollar Arm
ความเงียบเชียบของหนังอย่าง Million Dollar Arm อาจจะเกิดขึ้นเพราะว่าตัวหนังไม่มีดาราระดับแม่เหล็กในการดึงดูดให้ผู้ชม แถมดารานำอย่าง จอห์น เฮม เป็นใครกัน คนไทยอาจจะไม่ค่อยรู้จักมักจี่กับผู้ชายคนนี้กันสักเท่าไหร่ เพราะเอาเข้าจริงๆผลงานหนังใหญ่ของเขาก็มักจะได้รับบทเป็นตัวประกอบที่ไม่สำคัญกับเรื่องสักเท่าไหร่อาทิในหนังอย่าง The Town และ Sucker Punch จอห์น เฮมได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับซีรีย์ยอดฮิตอย่าง Mad Men ซึ่งสร้างออกมาอย่างต่อเนื่องถึง 7 ซีซั่นแล้ว
บทบาทของเขาใน Mad Men นี่เองที่ไปเข้าตากรรมการอย่างผู้กำกับเคร๊ก กิลลิสปี้ที่มองเห็นความเป็น เจบีอยู่ในตัวของนักแสดงอย่างจอห์น เฮม ผู้กำกับจึงทาบทามให้เขามารับบทนี้ ซึ่งเจบีนั้นเป็นตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริง เขาประกอบอาชีพเป็นเอเจนส์หรือว่ากันง่ายๆก็คือเป็นคนที่คอยดูแลนักกีฬานั่นเอง โดยในปี 2007 เขาได้กลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่ววงการกีฬาอเมริกา เมื่อเขาตัดสินใจทำเรียลลิตี้ค้นหานักกีฬาหน้าใหม่ให้กับวงการเบสบอลในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่คนหลงใหลในการตีคริกเก็ตมากมาย เจบีตั้งเป้ารางวัลด้วยเงิน 1 แสนดอลลาร์และโอกาสในการเซ็นสัญญากับเมเจอร์ลีคเบสบอลทีมชาติอเมริกามาล่อใจเยาวชนชาวอินเดีย
ถึงแม้ว่าหนังจะเข้าสูตรชัยชนะของคนตัวเล็กก็ตาม แต่ผู้กำกับเคร๊ก กิลลิสปี้กลับนำพาหนังไปไกลกว่าหนังสูตรสำเร็จธรรมดาเรื่องหนึ่ง เมื่อการเล่าเรื่องของเขากลับเพียบพร้อมไปด้วยลูกล่อลูกชน มุกตลกที่แทรกสอดมาในเวลาที่พอเหมาะ ตัวละครเปี่ยมเสน่ห์จนทำให้ผู้ชมหลงรัก และที่สำคัญหนังยังมาพร้อมกับมุมมองดีๆในการแบ่งสันปันส่วนระหว่างเรื่องธุรกิจกับการใช้ชีวิตได้อย่างทรงพลัง ซึ่งอาจจะต้องยกเครดิตความดีความชอบให้กับทอม แม็คคาร์ธีผู้เขียนบทของหนังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
หนังเริ่มต้นด้วยจุดที่เจบีกำลังประสบปัญหาเรื่องนักกีฬาบาสเกตบอลชื่อก้องไม่ยอมเซ็นสัญญาให้เขาดูแล ทำให้บริษัทขาดรายได้จนเป็นหนี้ก้อนโต ด้วยความพยายามครั้งสำคัญที่จะสร้างความมั่นคงให้กับหน้าที่การงาน และเหมือนโชคเข้าข้างเขาพอดีเพราะระหว่างที่ตนนั่งดูซูซาน บอยล์นั่งร้องเพลงในรายการ Britain’s Got Talent อยู่นั้นเอง เขาก็ตัดสินใจกดเปลี่ยนช่องไปดูรายการแข่งคริกเก็ตจนทำให้เขาเกิดไอเดียในการออกตามหานักกีฬาเบสบอลหน้าใหม่ในอินเดีย
การเดินทางไปหานายทุนอย่างชาง(ทีซี เมา) เพื่อออกงบให้เขามีทุนในการทำเรียลลิตี้ตามหาคลื่นลูกใหม่ในวงการเบสบอล เจบีได้เดินทางไปทั่วอินเดียพร้อมๆกับล่ามแปลภาษาจอมมึนอย่างอมิช(พิโทแบช) พร้อมกับแมวมองเบสบอลวัยดึก(อลัน อาร์กิน) ที่มีความสามารถในการฟังเสียงขว้างลูกเบสบอลก็รับรู้ได้ทันทีว่านักกีฬาคนนั้นมีฝีมือแค่ไหน ซึ่งเขามักจะหลับอยู่เป็นประจำ การค้นหาเพชรในตมเป็นไปอย่างทุลักทุเลจนกระทั่งพวกเขาได้พบกับคนที่มีพรสวรรค์อย่างริงกุ ชิงห์(สุราช ชาร์มา)และดิเนซ พาเทล(มาดูร์ มิตตาล) สองหนุ่มวัย 18 ปีที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเบสบอลเลยสักนิดเดียว
อันที่จริงหนังก็ค่อนข้างนำเสนอช่วงเวลาในอินเดียแบบลักไก่ให้ผู้ชมรู้เลยอยู่ดีว่า ใครจะกลายเป็น 2 คนสุดท้ายที่ได้ไปฝึกฝนที่อเมริกา เมื่อหนังโฟกัสหน้าผู้เข้าแข่งขัน 2 คนนี้ในปริมาณที่มากกว่าคนอื่น แต่ด้วยเหตุผลที่เราไม่ตะขิดตะขวงใจก็เพราะ หนังเผยให้เห็นด้านที่เปราะบางและแง่มุมของความเป็นมนุษย์ของทั้งสองคนนี้จนเราอยากที่จะเอาใจช่วยให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสทำคะแนนสูงๆและเดินทางไปอเมริกา โดยหลังจากที่ผู้ชมได้ลุ้นไปกับตัวละครทั้งสองคนนี้แล้ว หนังยังเผยให้เห็น “ทัศนคติ” ของผู้กำกับที่มองโลกตะวันออกได้อย่างจริงใจและไม่พยายามมองว่าคนอินเดียนั้นเป็นพวกคนสกปรกหรือใช้ชีวิตต้อยต่ำ แม้ว่าข้อเสนอในการเดินทางไปอเมริกานั้นอาจจะดูเป็นวิถี “พาฝัน” ตามแบบฉบับเรียลลิตี้ทั่วโลกที่ว่า โอกาสที่ดีเริ่มได้ที่อเมริกา (หรือการนำพาตัวเองไปสู่จุดสุดยอดของความสำเร็จ) ก็ตาม
แต่ใช่ว่าหนทางสู่ความสำเร็จนั้นจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เมื่อเด็กชายบ้านนอก 2 คนจากประเทศโลกที่ 3 ได้เดินทางมายังประเทศโลกที่ 1 ซึ่งเต็มไปด้วยเทคโนโลยีและสิ่งที่เขาไม่คุ้นชิน ความพยายามในการปรับตัวจึงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ และไหนพวกเขาจะต้องเข้าคอร์สฝึกฝนฝีมือให้พร้อมกับการคัดตัวในช่วงปลายปี ทุกอย่างจึงกลายเป็นความกดดันที่ทำให้พวกเขาหนักใจ โชคดีที่ทอม เฮาส์(บิลล์ แพ็กซ์ตัน) โค้ชที่ฝึกซ้อมเข้าใจพวกเขาและเล็งเห็นศักยภาพที่หลบอยู่ในตัวของเด็กทั้งสองคนนี้
ในโลกอเมริกานี้เองทุกอย่างถูกขับเคลื่อนไปด้วยเวลา เงินทองและคำว่า “ธุรกิจ” จนทำให้เจบีหลงลืมไปว่าเขาจะต้องเอาใจใส่ดูแลเด็กสองคนที่เขาพาติดกลับมา (แม้จะมาในเชิงธุรกิจก็ตาม) เขาอาจจะลืมนึกไปว่าเด็กก็ยังเป็นเด็กวันยังค่ำ พวกเขายังคงต้องการการดูแลเอาใจใส่จากคนใกล้ชิด ความพยายามในการจะพัฒนาฝีมือของทั้งคู่จะประสบผลได้ถ้าหากได้รับการดูแลจากเจบีด้วยเช่นกัน
เอาเข้าจริงๆแล้ว Million Dollar Arm เป็นมากกว่าแค่หนังกีฬาที่มีพล็อตเรื่องไม่ยากต่อการคาดเดาเท่าไหร่นัก ยิ่งสร้างจากเรื่องจริงแล้วเรายิ่งรู้ดีว่าบทสรุปท้ายเรื่องย่อมจบบริบรูณ์สมหวังอย่างแน่นอนแต่ด้วยการเล่าเรื่องของผู้กำกับที่มีฝีมือที่มีสไตล์เฉพาะตัวในการแทรกสอดอารมณ์ขันที่พอเหมาะ และเข้าใจในมิติของความเป็นมนุษย์ และมีมุมมองในการถ่ายทอดเรื่องราวออกมาอย่างกินใจผู้ชม
จนท้ายที่สุดแล้วเครดิตในช่วงท้ายเรื่องเราจึงเชื่อเสียสนิทใจว่าการแสดงของเหล่านักแสดงนั้นได้ถ่ายทอดชีวิตจริงๆของเจบี, ริงกุและดิเนซ ออกมาอย่างหมดเปลือกจริงๆ
ให้ 4 คะแนนจาก 5 คะแนน
@พริตตี้ปลาสลิด