วิจารณ์หนัง Hercules
วิจารณ์ Hercules
กลายเป็นหนึ่งในหนังที่พลิกความคาดหมายสำหรับตัวเองไปมากพอสมควร เมื่อก่อนหน้าที่จะตัดสินใจเสียเงินเข้าไปดูหนัง หลายต่อหลายคนบอกกันมาว่าหนังไม่ค่อยจะสนุก เดินเรื่องน่าเบื่อ อืดอาดมาก เลยเตรียมใจและลองนั่งอ่านข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตประมาณหนึ่งและค้นพบว่าตัวผู้กำกับอย่างแบรด เรตเนอร์ ที่มีผลงานการกำกับ Rush Hour และ X-Men: Last Stand น่าจะมีมุมมองบางอย่างต่อตัวหนังพอสมควร
จะว่ากันไปแล้วเฮอร์คิวลิสในเวอร์ชั่นนี้ถูกดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนของสตีฟ มัวร์เรื่อง Hercules: The Thracian Wars ซึ่งแก่นเค้าโครงเรื่องในหนังสือการ์ตูนนั้นก็ตั้งคำถามถังวีรบุรุษที่กังขาในความสามารถและที่มาของตัวเอง
ตามที่ผู้คนส่วนใหญ่รับรู้เรื่องราวของเฮอร์คิวลิสนั้น มักจะเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับวีรบุรุษคนนี้ว่า เขาเป็นลูกของเทพซุสและอัลเมนาที่เป็นมนุษย์ และด้วยความหึงหวงของเฮราผู้เป็นมเหสีเอกของเทพซุส นางจึงส่งงูลงมายังโลกเพื่อปลิดชีวิตเฮอร์คิวลิส แต่เขาก็สามารถปราบงูทั้งสองตัวได้ด้วยมือเปล่า เมื่อเติบโตขึ้นเฮอร์คิวลิสได้รับภารกิจ 12 ประการในการจัดการกับเหล่าอสูรกาย ไม่ว่าจะเป็นสิงโตยักษ์, ไฮดรา 9 หัว, หมาป่าผู้ดุร้าย และอีกมากมาย แต่ตัวหนังในเวอร์ชั่นนี้เลือกที่จะเล่าตำนานที่ผู้คนส่วนมากรับรู้กันมาเป็นทุนเดิมไว้แค่เพียง 5 นาทีแรกของเรื่องพร้อมกับเริ่มตำนานบทใหม่ของเฮอร์คิวลิสในอีกมุมมองหนึ่ง
เฮอร์คิวลิสในเวอร์ชั่นปี 2014 ของแบรด เรตเนอร์จึงค่อนข้าวสุ่มเสี่ยงที่จะมีคนชอบหนังเรื่องนี้มากพอๆกับที่คนรุมเกลียดมัน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ก็คงจะโทษตัวหนังอย่างเดียว 100% เต็มคงไม่ได้เนื่องจากตัวหนังทำการประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วไปเข้าใจผิดๆผ่านเทรลเลอร์ที่เน้นฉากการผจญภัยและการต่อสู้ของเฮอร์คิวลิส ผสมกับฉากประเภทตะโกนชื่อสมญานามของตัวเองเพื่อแสดงความแข็งแกร่ง เสียจนคนดูเข้าใจกันไปเองว่านี้เป็นหนังที่แสดงสภาวะความ “เป็นชาย” ออกมาเสียเต็มประตู
และเมื่อไม่ได้ชมอะไรอย่างที่ตั้งใจไว้ก็ย่อมผิดหวังกันเป็นธรรมดา อันที่จริงเรื่องราวในหนังที่พูดถึงการที่เฮอร์คิวลิสผันตัวเองมาเป็นนักรบรับจ้าง ถือได้ว่ามีความน่าสนใจ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังถูกตามหลอกหลอนจากอดีตอันมืดมน เนื่องจากเขาจดจำอะไรไม่ได้ในคืนที่ลูกเมียถูกสังหาร และตนเองก็ยังกังขาว่าโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นนั้นเป็นฝีมือของตัวเองหรือสุนัขสามหัวเซอร์บิรัส
การที่เฮอร์คิวลิสและพรรคพวกได้มารับงานให้กับลอร์ดโคทิสที่เมืองเทรซในการช่วยฝึกปรือพลทหารให้ไปออกรบ และยุติสงครามกลางเมือง เหตุการณ์ดำเนินไปข้างหน้าอย่างมีลับลมคมใน และระหว่างที่ออกศึกสงครามตัวเฮอร์คิวลิสเองก็เริ่มเรียนรู้ความหวาดกลัวและอดีตอันปวดร้าวของเขา ด้วยการพิสูจน์ตัวตนว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นใคร
ความน่าสนใจของเฮอร์คิวลิสในเวอร์ชั่นนี้คือการหยิบเอาเทพปกรณัมมาตั้งคำถามย้อนกลับว่า ถ้าหากจริงๆแล้วเรื่องราวทั้งหมดของเฮอร์คิวลิสในการรับรู้ของพวกเรานั้นแท้ที่จริงมันเป็นแค่ “เศษเสี้ยว” ของความจริงล่ะ เรื่องภารกิจ 12 ประการของเขาอาจจะไม่ได้ดูตื่นตาตื่นใจและท้าทายขนาดนั้น อันที่จริงมันอาจจะเป็นแค่การปราบ “อธรรม” ที่มีมนุษย์ยืนอยู่เบื้องหลัง หาใช่สัตว์ประหลาดเหนือธรรมชาติอย่างที่คิดมา แต่ด้วย “เรื่องเล่า” แบบปากต่อปากและผันแปรจนกลายเป็นตำนาน โดยที่ผู้คนอีกมากมายพร้อมจะเชื่อและศรัทธาในเรื่องเล่านั้นจนยกให้เฮอร์คิวลิสกลายเป็นวีรบุรุษผู้เป็นความหวังของผองชนในที่สุด
แต่หนทางในท้ายที่สุดนั้นไม่ว่าบุคคลดังกล่าวจะเป็นใครก็ตาม เฮอร์คิวลิสก็ถูกตั้งคำถามโดยแอมเฟียราอุส(เอียน แม็คเชน) ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาว่าท้ายที่สุดแล้วเขา “เลือก” จะเป็นใคร แต่มีคนอีกมากมายที่พร้อมจะ “เชื่อมั่นและศรัทธา” ในตัวตนของเฮอร์คิวลิส ว่าเขาจะเป็นแค่เรื่องเล่าสืบต่อกันมาหรือจะผันตัวเองให้กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันต่อไป ท้ายที่สุดวีรบุรุษผู้นี้ก็ต้องตัดสินใจว่าเขาอยากจะเป็นแบบไหนกันแน่
Hercules ในเวอร์ชั่นดเวย์น จอห์นสันหรือเดอะ ร็อคมีประเด็นชวนขบคิดตลอดทั้งเรื่อง จริงอยู่มันอาจจะไม่ใช่หนังแอ็คชั่นผจญภัยอย่างที่หลายต่อหลายคนคาดหวังจะให้หนังเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเราลองตีความไปกับมัน ตัวหนังก็ไม่ได้เลวร้ายเกินกว่าที่คิด
ให้ 3.5/5 คะแนนครับ
@พริตตี้ปลาสลิด