วิจารณ์หนัง Guardians Of The Galaxy

วิจารณ์ Guardians Of The Galaxy

 

การเดินทางของหนังมาร์เวลในเฟสที่ 2 ก็เดินทางมาถึงหนังปิดท้ายอย่าง Guardians Of The Galaxy ซึ่งจะว่ากันไปแล้ว ถ้าหากมองย้อนไปถึงตอนสมัยที่เป็นหนังสือการ์ตูนนั้น GOTG ก็ไม่ได้มีฐานแฟนคลับของหนังสือกว้างขวางเทียบเท่าซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆในจักรวาลนี้ นี่จึงกล่าวได้ว่าเป็นการลงทุนครั้งสำคัญและสุ่มเสี่ยงต่อขาดการขาดทุนมากที่สุดถ้าหากหนังเกิดแป้กขึ้นมา (แต่เหตุการณ์นั้นคงจะไม่เกิดขึ้นเนื่องจากตอนนี้หนังสามารถเก็บรายได้ 3 วันแรกในอเมริกาไปถึง 94 ล้านเหรียญฯ) 

 

 

อย่างไรก็ตามในเฟสที่ 2 ของมาร์เวลนั้นถ้าจะมองย้อนดูแล้วในแต่ละเรื่องก็เรียกได้ว่ามีประเด็นที่หนักหน่วงอยู่ในเรื่องราวของหนังตัวเองอาทิ Iron Man 3 พูดถึงประเด็นการก่อการร้าย ความไม่มั่นคงของชาติโดยมีบุคคลในประเทศเป็นตัวการ, Thor: The Dark World โลกมนุษย์ที่ตกอยู่ภายใต้การคุกคามจากสายพันธุ์อื่น, Captain America: The Winter Soldier สภาวะสงครามเย็นที่ย้ายฉากหลังมาเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันผันแปรมิตรให้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต ในขณะที่ GOTG เป็นหนังเรื่องเดียวในเฟสนี้ที่สวนกระแสเป็นหนังตลกโปกฮาพูดถึงการพิทักษ์จักรวาลแบบไม่ได้เป็นหน้าที่ภาคบังคับ

 

 

ปีเตอร์ ควิลล์หรือสตาร์ ลอร์ด(คริส แพรตต์) คือนักผจญภัยท่องอวการศจอมเจ้าเล่ห์ที่ได้ขโมยวัตถุทรงกลมลึกลับมา ซึ่งของสิ่งนี้เป็นที่ต้องการของโรแนน(ลี เพซ) วายร้ายที่หมายปองจะครอบครองจักรวาลทั้งปวงเอาไว้ในกำมือ แต่แล้วเมื่อปีเตอร์ถูกกำหนดราคาค่าหัว บรรดานักล่าเงินรางวัลจึงตรงรี่มาล่าตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นกาโมร่า(โซอี้ ซัลดาน่า) นักฆ่าสาวสุดโหดตัวเขียวผู้ไร้ความปราณี, กรูท ฮิวแมนอยด์ที่รูปร่างเหมือนต้นไม้ที่มาพร้อมสหายคู่ใจอย่างร็อคเก็ต แรคคูนกระสุนโหด เหตุการณ์ชลมุนที่พยายามจะจับตัวและช่วงชิงวัตถุลึกลับบนเซนซาร์ (ศูนย์กลางที่อยู่อาศัยของชาวจักรวาล) จบลงด้วยการที่ทั้ง 4 ถูกจับเข้าซังเตอวกาศจนได้พบกับแดร็กซ์(เดฟ บัลทิสต้า) นักฆ่าพลังมหาศาล แต่แล้วทั้งสี่ก็เลือกที่จะแหกคุกออกมาพร้อมกับแผนการพิทักษ์จักรวาลแบบเก๊ๆ เพราะอันที่จริงพวกเขาอยากจะได้เงินค่าส่งคืนวัตถุลึกลับเสียมากกว่า

 

 

เควิน ไฟก์ ผู้บริหารของค่ายมาร์เวลมีความตั้งใจที่จะสร้าง Guardians Of The Galaxy ขึ้นมาก็เพื่อจะเชื่อมโยงจักรวาลของมาร์เวล คอมิกส์ว่าแท้ที่จริงแล้วเหล่าซูเปอร์ฮีโร่นั้นไม่ได้ต่อสู้กันอยู่แค่บนพื้นโลกเท่านั้น ยิ่งไปกว่านี้มันยังเป็นการกรุยทางให้กับยอดมนุษย์คนอื่นๆได้มีโอกาสมาโลดแล่นบนจอได้ในอนาคตต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือความยากในการนำเสนอ GOTG นั้นอยู่ตรงที่ว่ามันเป็นมาร์เวลที่มีตัวละครเยอะมาก และในแต่ละตัว(ไม่เว้นแม้แต่ตัวร้าย) ก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง ดังนั้นการปูเรื่องราวและสร้างคาแรกเตอร์ให้ตัวละครแต่ละตัวก็นับได้ว่าสำคัญไม่แพ้บทภาพยนตร์เลยทีเดียว

การที่มาร์เวลเรียกใช้ตัวผู้กำกับอย่างเจมส์ กันน์ซึ่งผ่านงานการทำหนังสัตว์ประหลาด ตลกร้ายอย่าง Slither และหนังซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์เก๊สุดเกรียนอย่าง Super มาเล่าเรื่องราวของ 5 ยอดขุดพลแห่งจักรวาล ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่ผิดพลาด เขาสามารถดึงจุดเด่นของตัวละครแต่ละตัวออกมาได้อย่างทรงพลัง เด่นชัดในตัวเอง (ดูหนังจบมีใครไม่หลงเสน่ห์ของเจ้ากรูท กับ ร็อคเก็ต แรคคูนบ้างล่ะ) 

 

 

มุกตลกของเรื่องก็เรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์อันเด่นชัดสำหรับ Guardians Of The Galaxy ซึ่งหนังก็เล่นความย้อนแย้งในบริบทของตัวหนังมากพอสมควร จะเห็นได้จากความ “ไม่จริงจัง” ของบรรดาตัวเอกที่ติดเล่น ติดตลก ทำตัวโปกฮากันอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่บรรดาวายร้ายก็ค่อนข้างเคร่งขรึม ซีเรียส เอาเป็นเอาตายกันอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากฉากไคลแมกซ์ตอนท้ายเรื่องก็เรียกได้ว่าเป็นฉากที่ชวนเหวอรับประทานอ้าปากค้างไม่แพ้โรแนนกันเลยทีเดียว

สิ่งที่ดีงามมากอีกหนึ่งอย่างของหนังเรื่องนี้ซึ่งคงจะโดนใจบรรดาคนที่มีอายุราว 30-40 ปีขึ้นไป เพราะวอล์คแมนที่มีเทปคาสเซทของปีเตอร์นั้น อัดแน่นไปด้วยเพลงจากยุค 80 จากชื่อเทปเพลงอัดเองซึ่งเต็มไปด้วยเพลงฮิตอาทิ Hooked on a Feeling ของ Blue Swede, Moonage Daydrea ของ David Bowie, I Want You Back ของ Jackson 5, Cherry Bomb ของ The Runaways และเพลงสุดคลาสสิกอย่าง  Ain’t No Mountain High Enough ของ Marvin Gaye & Tammi Tyrell ซึ่งล่าสุดตัวหนังก็ออกอัลบั้ม Guardians of the Galaxy: Deluxe Version ซึ่งมีเพลงประกอบภาพยนตร์พ่วงสกอร์เพลงในหนังมาด้วย 

 

 

Guardians of the Galaxy ในช่วงแรกเริ่มเป้าหมายอาจจะเป็นแค่การกรุยทางเพื่อเปิดจักรวาลมาร์เวล แต่บัดนี้เราเชื่อว่าหนังเรื่องนี้กำลังสร้างฐานแฟนคลับกลุ่มใหม่ขึ้นมา และเราเชื่อว่าคนในโลกอีกมากมายก็กำลังจะผันตัวไปเป็นสาวกของเหล่าผู้พิทักษ์อวกาศทั้ง 5 คนนี้อย่างแน่นอน

 

4 คะแนนจาก 5 คะแนน

@พริตตี้ปลาสลิด