วิจารณ์หนัง UNBROKEN ชัยชนะของความอดทน
แม้ว่าหนังอย่าง Unbroken จะตั้งใจนำเสนอวีรกรรมและความอดทนของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์อย่างหลุยส์ แซมเปอร์รินี่ ทว่าจุดขายของหนังที่แท้จริงคือการเอาชื่อผู้กำกับหญิงอย่างแองเจลิน่า โจลี่มาขายเป็นหลัก เสียจนเราอาจจะกล่าวได้ว่า เราแทบจะสนใจในออร่ารัศมีของตัวโจลี่ มากกว่าจะไปโฟกัสตัวหนังเสียอีกด้วยซ้ำไป
จริงๆผลงานการกำกับของโจลี่ชิ้นที่ 3 นี้ถือว่าทำออกมาได้สมน้ำสมเนื้อ เพราะตัวหนังมีสเกลของเรื่องที่เรียกได้ว่าใหญ่พอตัว เนื่องจากตัวหนังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องสงคราม ปรากฏฉากเครื่องบินรบ รวมไปถึงช่วงเวลาที่ตัวละครของเรื่องต้องไปลอยคออยู่กลางทะเล ก่อนที่จะโดนจับไปอยู่ในค่ายเชลยตอนท้ายเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่าการคุมงานสร้างของโจลี่แม้ว่าจะออกมาน่าพอใจ แต่เมื่อลองหันกลับมามองในเรื่องตัวบทภาพยนตร์และวิธีการเล่าเรื่องของเธอแล้วจะพบว่าตัวหนังค่อนข้างประสบปัญหาพอสมควร
แจ็ค โอคอนเนล นักแสดงนำของเรื่องที่รับบทเป็นหลุยส์ แซมเปอร์รินี่ นั้นต้องรับหน้าที่ในการโอบอุ้มหนังทั้งเรื่องไว้เลยทีเดียว เนื่องจากมันเล่าช่วงเวลาที่เขาต้องพยายามเอาชนะตัวเองในการวิ่งมาราธอนก่อนจะผันตัวเองไปวิ่งแข่งขันเป็นนักกีฬาในการแข่งขันโอลิมปิกโลก ซึ่งหนังก็เล่าช่วงเวลานี้แบบผ่านๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากนัก
ทว่าฝันของหลุยส์ก็ต้องดับวูบหายไปเมื่อเขาต้องเข้าไปร่วมเป็นพลทหารอากาศในกองทัพสหรัฐ ระหว่างที่เขาได้รับภารกิจในการบินไปลาดตระเวนนั้นเองเครื่องของเขาก็ถูกยิงตกลงในมหาสมุทรจนต้องลอยคอยอยู่กลางทะเลเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ซึ่งพวกเขาก็ต้องเผชิญสภาพขาดน้ำ ขาดอาหารและโดนแสงแดดแผดเผาจนร่างกายไหม้ (คล้ายๆกับชีวิตพายใน Life of Pi) แต่ที่ซวยหนักกว่าคือการที่เขาถูกกองทัพญี่ปุ่นพบและจับตัวไปเป็นเชลยสงครามในค่ายทหาร
ณ ในค่ายทหารนั้นเองหลุยส์ต้องเผชิญหน้า เดอะเบิร์ด(มิยาวิ,ทาคามาสะ อิชิฮาระ) ที่ใครๆก็ขนานนามว่าเขาเป็นจอมโหดแห่งค่ายเชลยสงครามที่มักจะลงมือลงไม้กับนักโทษเป็นประจำ และหลุยส์ก็ตกเป็นกระสอบทรายอยู่บ่อยครั้ง
สิ่งที่น่ากังขาก็คือ ความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียดของเดอะเบิร์ดและหลุยส์นั้น เรียกได้ว่าตัวหนังนำเสนอมาแล้วส่อกลิ่นโฮโมอิโรติกคลุ้งจอไปหมด เนื่องจากเคมีของนักแสดงชายทั้งสองคนดันเข้ากันแบบประหลาด ยิ่งแววตาโหยไห้ของฝ่ายญี่ปุ่นนั่นยิ่งสร้างความรู้สึกตะหงิดๆว่าจริงๆแล้ว เดอะเบิร์ดนั้นแอบชอบในความไม่ยอมแพ้ของหลุยส์ หรือคิดเป็นอื่นไกลไปกว่านั้นเราก็ไม่อาจจะรู้ได้เหมือนกัน เพียงแค่รู้สึกได้ว่าฉากนั้นส่งกลิ่นแปลกๆอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ถ้ามองในภาพรวมแล้วหนังอาจจะไม่ได้บันเทิง หรือน่าจดจำในทุกภาคส่วน แต่ถือว่าเป็นผลงานที่เรามองเห็นความตั้งใจของ “แองเจลิน่า โจลี่” ในการถ่ายทอดเรื่องราวของหลุยส์ แซมเปอรินี่ได้ไม่เลวทีเดียวครับ
ให้ 3 คะแนนจาก 5 คะแนน
@พริตตี้ปลาสลิด