วิจารณ์หนัง Fast & Furious 7 แด่แฟรนชายส์อันเป็นที่รักของผู้ชม
ไม่รู้ว่ากระแสที่ทำให้หนัง Fast & Furious 7 พุ่งแรงไปถึง 80 ล้านแค่วันแรกที่หนังเปิดตัวจนโรงหนังแทบแตกหนังเป็นปัจจัยจากเรื่องค่ายหนังและจา พนมด้วยหรือเปล่า แต่แน่นอนว่ามันทำให้สุดสัปดาห์ก่อนกลายเป็นความลุ้นระทึกจนคนดูลุ้นแทบเส้นเลือดในสมองแตกว่าคนไทยจะได้ชมภาคต่อของหนังรถซิ่งเร็วแรงทะลุนรก แต่ก็กลายเป็นว่าทุกอย่างก็เข้าสู่โหมดปกติทุกคนได้ดูหนังอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตามทีเรื่องราวของภาคนี้ต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ในภาคที่แล้วหลังจากที่ลูกทีมของดอม (วิน ดีเซล) และไบรอัน (พอล วอล์คเกอร์) ได้รับการอภัยโทษให้กลับอเมริกาได้ เราได้พบว่าพวกเขาได้ปรับตัวมาใช้ชีวิตถูกกฎหมาย แต่คำว่าบ้านของพวกเขากลับเป็นอะไรที่เกินจริง ดอมพยายามจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเล็ตตี้ (มิเชล โรดริเกซ) ในขณะที่ไบรอันเองก็พยายามจะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตย่านชานเมือง ส่วนเทจ (คริส “ลูดาคริส” บริดเจส) และโรมัน (ไทรีส กิ๊บสัน) ก็เฉลิมฉลองอิสรภาพของพวกเขาด้วยการใช้ชีวิตตามความฝันของหนุ่มเพลย์บอย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่พวกเขายังไม่รู้ก็คืออันตรายกำลังคืบคลานเข้าหาพวกเขาในร่างของมือสังหารภารกิจลับเลือดเย็นชาวอังกฤษ ที่มีบัญชีแค้นต้องสะสาง หลังจากที่เริ่มต้นศักราชแห่งความหวาดสะพรึงด้วยการสังหารโหดฮาน (ซุง คัง) ในโตเกียวและความพยายามลอบสังหารฮ็อบส์ (เดอะ ร็อค) ในแอลเอ เด็คการ์ด ชอว์ (เจสัน สเตแธม) ก็เริ่มลงมือตามล่าผู้ที่กำจัดโอเวน (ลุค อีวานส์) น้องชายของเขา ระหว่างภารกิจสุดท้ายของพวกเขา
ในตอนที่ชอว์ระเบิดบ้านทอร์เร็ตโต้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแหล่งพักพิงเพื่อให้ลูกทีมของเราได้ไขว่คว้าอิสรภาพกลับคืนมา ดอมก็ต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง (เคิร์ท รัสเซล) ความหวังหนึ่งเดียวของเหล่าตัวเอกของเราคือการนั่งหลังพวงมาลัยอีกครั้ง เพื่อหาโปรโตไทป์เครื่องมือติดตามอัจฉริยะของรัฐบาลสหรัฐฯให้พบหรือที่รู้จักกันในชื่อดวงตาเทพ ผลตอบแทนคือพวกเขาจะสามารถใช้เครื่องมือติดตามที่ว่านี้ในการสืบร่องรอยของชอว์ ผู้เร้นกายราวกับวิญญาณ ก่อนที่เขาจะลงมือสังหารอีกครั้ง
แฟรนชายส์ FAST เดินทางมาถึงภาคที่ 7 ได้เพราะมีบรรดาแฟนๆจากทั่วโลกรอคอยการกลับมาของบรรดาเหล่าทีมซิ่งรถ ซึ่งแน่นอนว่าตัวละครอันเป็นที่รักของผู้ชมมากๆก็คือดอม ไบรอันและเลตตี้ ยิ่งไปกว่านั้นข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพอล วอล์คเกอร์ยิ่งทำให้แฟรนชายส์นี้ทรงคุณค่าขึ้นไปอีกในการเป็นหนังที่เรียกได้ว่าแจ้งเกิดให้กับพอลอย่างแท้จริง และเขาก็มีส่วนกับแฟรนชายส์นี้จนเรียกได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในครอบครัว FAST เลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนเลยว่าหลังจากที่ FAST5 ได้ทำยกระดับทำให้แฟรนชายส์ชุดนี้กลายเป็นหนังแอคชั่นแฟนตาซีเต็มรูปแบบ (4 ภาคแรกยังมีความสมจริงอยู่ในแง่ของหลักฟิสิกส์และความเป็นไปได้) ทำให้ผู้ชมควรจะเตรียมใจไปก่อนเลยว่าหนังชุดนี้ “อะไรก็เกิด” ขึ้นได้เสมอ และมันได้กลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังรถซิ่งชุดนี้ที่เรียกได้ว่าเล่นสนุกกับความ “เหนือจริง” ทุกอย่าง
ในหนังภาคล่าสุดการจะหาตรรกะความเป็นไปได้จริงจากฉากรถทิ้งลงมาจากเครื่องบินก่อนแลนดิ้งลงพื้นถนน, ฉากที่เมืองอาบูดาบีรถพุงทะลุตึก หรือกระทั่งฉากวินาศสันตะโรตอนไคลแมกซ์ ไม่ได้เลยสักนิด แต่อย่างไรก็ตามมันกลับมอบความสนุกได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มันเป็นความแฟนตาซีที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้จริงเลย ดังนั้นสองชั่วโมงกับหนังเรื่องนี้จึงไม่ต่างอะไรจากการหลุดไปอยู่ในห้วงความบันเทิงที่ผู้ชมไม่ต้องพยายามถามหาสาระ แต่ปล่อยใจกับความบันเทิง
ในฉากการล่ำลาระหว่างดอมและไบรอันในตอนท้าย เป็นฉากที่เรียกได้ว่าซาบซึ้งกินใจ ยิ่งไปกว่านั้นฉากฟุตเทจที่รวมเอาภาพความสัมพันธ์ของดอมและไบรอันตั้งแต่ภาคแรกจวบจนภาคล่าสุดนั้นยิ่งช่วยตอกย้ำประเด็นที่หนังภาคนี้ต้องการนำเสนอก็คือพวกเขาเป็นมากกว่าเพื่อน แต่เป็นครอบครัวเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นตัวละครพวกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของผู้ชมด้วยเช่นเดียวกัน
มอบให้ 3.5 จาก 5 คะแนน
@พริตตี้ปลาสลิด
อัลบั้มภาพ 5 ภาพ