วิจารณ์หนัง Hitman Agent 47 ถ้าไม่ไหวก็พอ...

เดิมทีแม้ว่า HITMAN จะเคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2007 แต่ก็ไม่วายโดนสวดยับจากบรรดานักวิจารณ์ว่ามันเป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากเกมได้ห่วยแตกเรื่องหนึ่ง น่าเศร้าที่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้ย้อนกลับมาเกิดขึ้นกับหนังรีบูตใหม่เรื่องนี้อีกครั้ง แต่ในความ “ย่ำแย่” ของหนังมันก็ยังเป็นหนังที่ดูเพลินและ “วายป่วง” ไม่หยอกทีเดียว

พล็อตเรื่องของ Hitman Agent 47 นั้นว่าด้วยเรื่องราวของนักฆ่าชั้นยอดที่ได้รับการตัดต่อทางพันธุกรรมมาแต่กำเนิดเพื่อเป็นเครื่องจักรสังหารอันสมบูรณ์แบบ และมีชื่อเรียกตามเลขสองหลักสุดท้ายของบาร์โค้ดซึ่งสักไว้ที่หลังคอ เขาเป็นผลลัพธ์ขั้นสุดยอดหลังจากการวิจัยนับหลายทศวรรษและสายลับมนุษย์โคลนอีกสี่สิบหกคนก่อนหน้า

ทำให้เขาได้รับความแข็งแกร่ง ความรวดเร็ว ความอึด และความฉลาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เป้าหมายล่าสุดของเขาคือองค์กรขนาดใหญ่ที่วางแผนไขความลับในอดีตของสายลับ 47 เพื่อสร้างกองทัพนักฆ่าที่มีพลังยิ่งกว่าตัวเขาเอง ด้วยการร่วมทีมกับหญิงสาวที่อาจกุมความลับในการเอาชนะศัตรูที่มีพลังแข็งแกร่งและลึกลับ 47 เผชิญหน้ากับความจริงอันน่าตื่นตะลึงเกี่ยวกับที่มาของตนเอง และชี้ชะตาในการต่อสู้ครั้งใหญ่กับศัตรูที่อันตรายที่สุด 

หนังเปิดเรื่องมาด้วยฉากต่อสู้โครมคราม คนดูยังไม่มีโอกาสจะได้รู้เลยว่า “ใครเป็นใคร” และทำไมพวกเขาถึงต้องต่อยตีฆ่าฟันกันถึงขนาดนั้น เมื่อคนดู “ยังไม่มีโอกาส” จะได้รู้จักตัวละครดีทำให้อารมณ์ในการจะเอาใจช่วยพวกเขาลดลงไป ซึ่งวิธีการดูหนังเรื่องนี้ให้ “บันเทิง” อาจจะต้องโยนตรรกะที่ว่าตัวละครในหนังเรื่องนี้ยังมีความเป็นมนุษย์มีเลือดมีเนื้อทิ้งไปให้สิ้น แล้วมองตัวละครกลุ่มนี้ใหม่ว่าพวกเขา “ไร้ความเป็นมนุษย์” โดยสิ้นเชิง

เมื่อเรามองหนังด้วยตรรกะดังกล่าวแล้วก็จะพบว่าตัวละครเหล่านี้ฆ่าฟันก็เพื่อจุดประสงค์ในการรักษา “สถานะ” การอยู่รอดและกำจัดการ “ผลิตซ้ำ” ในสิ่งที่สายลับ 47 ไม่อยากให้มีการสร้างมนุษย์แบบเขาขึ้นมาอีก และหนทางเดียวทีจะทำได้คือการร่วมมือกับหญิงสาวลึกลับที่มีความสามารถและมีความแข็งแกร่งในตัวเองไม่แพ้สายลับ 47 เช่นกัน

อันที่จริงตัวผู้กำกับของเรื่องอย่างอเล็กแซนเดอร์ บาคนั้นเติบโตมาจากงานโฆษณา หลายฉากในหนังโดยเฉพาะฉากแอ็คชั่นจึงออกแบบมาให้ดูอลังการและน่าตื่นตาตื่นใจมากไม่ว่าจะเป็นฉากไล่ล่าฆ่าฟันในโรงงานเครื่องบิน, ฉากขับรถไล่ล่าที่โชว์รถสวยเสียจนคิดว่านี่เป็นซีนขายรถสปอนเซอร์เลยทีเดียว หรือกระทั่งฉากไคลแมกซ์ที่ถล่มตุกองค์กรก็ดูผ่านการออกแบบมาหลายขั้นตอน 

น่าเสียดายตรงที่หนังดูเบาโหวง หาอะไรจับต้องเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้เท่าไหร่ การแสดงของนักแสดงก็เลิกพูดถึงไปได้เลยเพราะแข็งน้อยกว่าซีเมนต์นิดเดียว โดยภาพรวมของหนังก็ไม่ได้ห่วยแตก (ผู้เขียนว่าหนังมันสนุกกว่าเวอร์ชั่นปี 2007 ด้วยซ้ำไป) แต่จะว่าไปแล้วก็ “อย่าสร้างออกมาอีกเลยก็พอแล้ว” 

@พริตตี้ปลาสลิด

2 คะแนนจาก 5 คะแนน