ฝันของคนชั้นกลาง ความสำเร็จหนัง "จีทีเอช"

ฝันของคนชั้นกลาง ความสำเร็จหนัง "จีทีเอช"

ฝันของคนชั้นกลาง ความสำเร็จหนัง "จีทีเอช"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นับแต่ก่อตั้ง หลังจาก "จีเอ็มเอ็ม พิคเจอร์, ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์" และ "หับโห้หิ้น ฟิล์ม" ร่วมกันสร้าง "แฟนฉัน" จนประสบความสำเร็จอย่างสูงในปี 2546 "จีทีเอช" ก็ดูจะเป็นค่ายหนังมาแรงอันดับต้นๆ ของบ้านเรา เพราะแค่ในรอบ 10 ปี มีผลงานติดอันดับ "20 ภาพยนตร์ไทยทำรายได้สูงสุดตลอดกาล" มากถึง 7 เรื่อง 

ไม่ว่าจะ "แฟนฉัน", "ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ", "รถไฟฟ้ามาหานะเธอ", "กวนมึนโฮ", "ลัดดาแลนด์", "ATM เออรัก..เออเร่อ" และ "พี่มากพระโขนง"

นั่นจึงนำไปสู่งานวิจัยเรื่อง "อัตลักษณ์ของภาพยนตร์ไทยที่ผลิตโดยจีทีเอช" ที่ "ประกายกาวิล ศรีจินดา" ศึกษาหนังจีทีเอชระหว่างเดือนมกราคม 2546-ธันวาคม 2556 จำนวน 37 เรื่อง เพื่อไขความสำเร็จของค่ายหนังฟีลกู๊ด

และผลการศึกษาพบว่าหนังจีทีเอช แบ่งเป็นตระกูลหรือแนวได้ 4 แนว คือ แนวผีสยองขวัญ, แนวตลก, แนวโรแมนติก และแนวปลีกย่อย

โดย "แนวผีสยองขวัญ" จะมีลักษณะเดียวกัน คือ ลำดับเรื่องไม่เป็นเวลา เน้นหนังผีแนวสืบสวนแต่ท้ายที่สุดจะกลับมาสู้ขนบความเป็นไทยอย่าง "ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว" แถม "ผี" ยังเป็นผู้หญิงที่ตายด้วยความรัก และคนฆ่ามักเป็นคนใกล้ตัวสะท้อนสำนวนที่ว่า "คนที่ไว้ใจ ร้ายที่สุด"

"แนวตลก" ซึ่งมีมากกว่าแนวใดๆ ตัวละครหลักจะเป็นเด็ก-วัยรุ่น เรื่องราวสะท้อนวิธีคิดแบบสังคมสมัยใหม่ เน้นความรัก ความผูกพันของเพื่อน-ครอบครัวเป็นหลัก และไม่เล่าเรื่องเป็นเส้นตรง

"แนวโรแมนติก" จะไม่ได้ให้คุณค่ากับความรักโรแมนติกแบบในอดีต มีการสะท้อนปัญหาสังคม ตัวละครก็จะดูแปลกแยกจากวิธีคิดและระบบทุนนิยม เช่น พระเอกเรื่อง "กอด" มี 3 แขน หรือตัวละครหลักของ "หนีตามกาลิเลโอ" ที่ทำผิดโดยปลอมลายเซ็นอาจารย์

ขณะที่ "แนวปลีกย่อย" มักต่อต้านทุนนิยมผ่านสัญลักษณ์ของหนัง เช่น สะท้อนระบบมหาวิทยาลัยในเรื่อง "มหาลัยเหมืองแร่", "ไฟนอลสกอร์" และ "วัยรุ่นพันล้าน" โดยทำสิ่งเสมือนให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง นอกจากนี้ตัวละครยังเป็น "สีเทา" มีความเป็นมนุษย์ปุถุชน รัก โลภ โกรธ หลง

โดยทั้ง 4 แนว เรื่องราวมักจะเกิดในเมือง ไม่ว่าจะเมืองหลวง หัวเมืองใหญ่หรือต่างประเทศ

"ดังนั้น ประกายกาวิลจึงสรุปอัตลักษณ์หนังของจีทีเอชได้ว่า โครงเรื่องต้องสมัยใหม่ ไม่เล่าเรื่องเป็นเส้นตรง มีการผสมผสานแนวต่างๆ จบลงด้วยความสุข 

ตัวละครมีจิตใจดี ทัศนคติเป็นบวก แต่การเล่าเรื่องจะเล่าผ่านมุมมองของตัวละครชาย มีการศึกษา และเป็นชนชั้นกลาง 

ส่วนฉากหลังจะเน้นพื้นที่ของคนเมืองสะท้อนความทันสมัย 

รวมๆ จะเห็นได้ว่าหนังจีทีเอชจะแย้งกับลักษณะหนังไทยในแบบเดิมๆ คือ ไม่ได้มีการต่อสู้ ไม่มีการเมือง มีการแสดงบทรักแบบมีชั้นเชิงไม่โจ่งแจ้ง ใช้บทสนทนาในชีวิตประจำวัน ไม่ได้หยาบคายรุนแรง และสร้างความตลกตามสถานการณ์ ไม่จำเป็นต้องตลกจากแค่ตัวตลกเท่านั้น

ที่น่าสนใจ คือ "รื้อถอนความเป็นผู้หญิงดั้งเดิมแบบดั้งเดิม" ที่นางเอกต้องเป็นกุลสตรี เรียบร้อย ไร้มลทิน เพราะนางเอกค่ายนี้ หลายเรื่องมักไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ บ้างเคยโดนข่มขืน บ้างเคยแต่งงานมาแล้ว บ้างเป็นเมียน้อย หรือพูดเรื่องเซ็กซ์อย่างโจ๋งครึ่ม"

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะหนังมีตัวแปร 4 อย่างกำหนดอยู่ นั่นคือ 1.ทุนทั้งในแง่ตัวเงิน และตัวบทซึ่งทางค่ายให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาก 2.ผู้กำกับ 3.กระบวนการคัดกรองที่ทุกเรื่องต้องผ่านบอร์ด 4.ผู้ชม

แต่ตัวแปรสำคัญสุดกลับเป็น "ระบบโครงสร้างอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย" ที่กำหนดไว้ให้ผู้สร้างมีรายได้จาก 2 ส่วน 

ส่วนแรกจาก "บ็อกซ์ออฟฟิศ" โดยจะได้รับ 50% จากรายได้ทั้งหมดของหนังที่ฉายในกรุงเทพฯและปริมณฑล 

อีกส่วนจาก "สายหนัง" ที่ผู้สร้างได้ส่วนแบ่งเพียงแค่ 8%

"นั่นหมายความว่าทำหนังที่ระดับแมสทั่วไปดู โดยไม่มีระบบสายหนัง รายได้ทั่วไปก็จะได้ 50% เต็มๆ เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้รายได้หลักอยู่ที่บ็อกซ์ออฟฟิศ แนวหรือตระกูลภาพยนตร์ก็ต้องตอบสนองรสนิยมคนที่อยู่ในเมืองเป็นหลักนั่นเอง" ประกายกาวิลว่า

ทั้งยังบอกหากใช้แนวคิดของ "ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu)" พิจารณาจะพบว่าจีทีเอชใช้ทุน 3 ส่วนในการผลิตหนัง คือ ทุนเครือข่าย ทุนสัญลักษณ์และทุนทางเศรษฐกิจ

"แม้บางเรื่องไม่ทำรายได้อย่างกอด หรือมหาลัยเหมืองแร่ แต่ยังเป็นทุนสัญลักษณ์ให้กับจีทีเอชเพราะได้รางวัลเยอะมาก คนชื่นชม"

โดย "ทุนสัญลักษณ์มาจากการที่ได้ทุนเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เช่น ได้แกรมมี่ที่มีเพลงเก่าๆ ดีๆ รวมถึงมีคุณ "วิสูตร พูลวรลักษณ์" เชี่ยวชาญทางด้านหนัง รวมถึงหับโห้หิ้นที่เป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์คุณภาพ

"แม้บางเรื่องจะไม่ได้เงินแต่เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาทำงานคุณภาพได้ บางเรื่องถูกมองว่าไร้สาระได้เงินได้ยังไง มันมีผลพวงมาจากเขามีทุนสัญลักษณ์ที่ดีและคนเชื่อมั่นในแบรนด์ของเขานั่นเอง"

ถึงอย่างนั้นต้องยอมรับว่า หลังจากลองทำมาทุกแนวจนจับทางได้ทำให้ตั้งแต่ "รถไฟฟ้ามาหานะเธอ" เป็นต้นมา จีทีเอชมักสร้างหนังผีและหนังตลกซะส่วนใหญ่เพราะค่อนข้างปลอดภัยไม่ขาดทุน

สุดท้ายประกายกาวิลจึงว่า "จากทั้งหมดถ้าถูกบังคับแบบนี้ อัตลักษณ์หรือความเป็นหนังที่สะท้อนออกมาเป็นที่มาของภาพยนตร์สะท้อนวิถีชีวิตของคนชั้นกลางที่ต้องการหลุดพ้น หรืออยากเป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาชีพ การศึกษา รายได้"

"ความเป็นจีทีเอช คือ ภาพยนตร์ที่เป็นอุดมคติของคนชั้นกลาง"

"ที่คนส่วนใหญ่ล้วนอยากได้ อยากเป็น"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook