วิจารณ์หนัง Maze Runner 2: The Scorch Trials วิ่งเข้าไป!!
Maze Runner 2
*ท้ายบทความอาจจะมีการสปอยล์อย่างเบาบาง ผู้ที่ไม่เคยอ่านนิยายหรือไม่ต้องการให้อรรถรสลดลงกรุณาข้ามไปก่อนครับ*
Maze Runner ภาคแรกจัดเป็นหนังเจาะกลุ่มวัยรุ่นที่ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างภาคต่อออกมาด้วยซ้ำไป แต่เมื่อหนังทำกำไรในระดับโลกในระดับที่สามารถสานต่อเรื่องราวได้ สตูดิโอจึงไม่หยุดนิ่งในการโกยเงินแค่นั้น The Scorch Trials หรือดินแดนมอดไหม้ ดัดแปลงมาจากนิยายเล่มที่สองในชื่อเดียวกัน เมื่อโทมัสและเพื่อนชาวทุ่งหนีออกมาได้จากวงกตมฤตยูได้ แต่เรื่องราวมันยังไม่จบลงแค่เพียงเท่านั้น เพราะจริงๆแล้ว WCKD ได้เตรียมแผนการใหม่สำหรับพวกเขาไว้ เมื่อโทมัสดันเข้าไปล่วงรู้ความจริงที่ว่าจริงแล้วคนที่ช่วยเหลือพวกเขาออกมาจากวงกตนั้นเป็นพวกของ WCKD ทำให้โทมัสและเพื่อนพากันหนีออกมายังโลกทะเลทรายภายนอกกลางดึก
หลังจากการถูกเจ้าหน้าที่ตามไล่ล่า พวกของโทมัสก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้ เมื่อพวกเขาต้องเจอกับพวกแครงก์หรือบรรดามนุษย์ที่ติดเชื้อไวรัสร้ายจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่วิ่งไวหิวโหย บรรดาโทมัสและเพื่อนๆจึงต้องวิ่งโกยอ้าวแบบไม่คิดชีวิตกันตลอดเวลา เป้าหมายสำคัญของโทมัสในเวลานี้คือเดินทางเพื่อไปรวมกลุ่มกับบรรดากลุ้มต่อต้านที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มไรท์อาร์ม ณ ภูเขาแห่งหนึ่ง
ระหว่างการเดินทางตามหาเป้าหมายของโทมัส แน่นอนว่าผู้ชมจะได้สนุกไปกับบรรดาอุปสรรคทั้งหลายที่เป็นตัวขัดขวางไม่ให้โทมัสปลอดภัย แน่นอนว่าผู้กำกับอย่างเวส บอล ยังสามารถดีไซน์บรรดาฉากโลกอนาคตที่พังพินาศท่ามกลางทะเลทรายออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ฉากอุโมงค์มืดที่น่าเสียวสันหลังว่าจะมีตัวอะไรโผล่ขึ้นมาตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งฉาก “ความสูง” ที่ตัวผู้กำกับก็ใช้มุมมองทางด้านภาพเป็นตัวกระตุ้นเร้าผู้ชมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
แต่ถ้าหากเรายกบรรดาฉากแอ็คชั่นออกไปจนสิ้นแล้ว เราจะพบว่าตัวหนัง (และทั้งนิยาย) ในภาคนี้เต็มไปด้วยความเบาโหวงทางพล็อตเรื่อง มันเป็นการผจญภัยที่ไม่ไดมีเงื่อนงำซ้อนเร้น หรือชวนฉงนน่าสงสัยอันเป็นเสน่ห์แบบหนังภาคแรก เพราะโฉมหน้าของ WCKD ที่ถูกเปิดเผยอย่างราบคาบได้ผลักสถานะของตัวละครที่พะยี่ห้อนี้เป็นตัวร้ายเต็มรูปแบบ และเหล่าตัวละครในฝั่งโทมัสก็กลายเป็นขั้วตรงข้ามที่เขารู้สึกว่าการ "หาประโยชน์” อันไร้ความชอบธรรมของ WCKD โดยปราศจากความยินยอมของเจ้าตัวเพื่อคำกล่าวอ้างที่ว่าจะสังเคราะห์ยารักษาเชื้อไวรัสด้วยการใช้ชีวิตของมนุษย์เป็นตัวทดลองมันไม่แฟร์เท่าไหร่
ประเด็นสำคัญของหนังภาคนี้คือการหนีและการตั้งหลัก แต่ดูเหมือนว่าตัวละครของโทมัส(ดีแลน โอ เบรียน) กลายเป็นตัวละครผู้นำที่เหมือนคนนำทีมที่ดูคิดน้อยและออกแนวมุทะลุดุดันมากกว่าภาคแรก หลายครั้งในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในหนังภาคนี้ก็ดูเหมือนกับว่าเขาจะ “โชคช่วย” มากกว่า “ตั้งสติ” ดังนั้นการรอดชีวิตในหลายครั้งหลายคราก็ดู “เหลือเชื่อ” ไปเหมือนกัน ทำให้เราเปลี่ยนสายตาในการมองตัวละครนี้ไปในอีกทิศทางหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อตอนท้ายที่สุดของเรื่อง เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปอีกครั้ง การที่ตัวละครโทมัสกลายมาเป็น “ผู้นำ” แบบตัวละครอื่นๆในนิยาย Young Adult ที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันอาทิ Divergent Series หรือ The Hunger Game นั้นยิ่งทำให้เราตั้งคำถามหนักขึ้นไปอีกว่า ...... จะดีเหรอแบบนี้ คงได้แต่ต้องเอาไปลุ้นต่อกันในภาคถัดไป
3.5 คะแนนจาก 5 คะแนน
@พริตตี้ปลาสลิด
อัลบั้มภาพ 18 ภาพ