วิจารณ์หนัง The Hunger Games: Mockingjay Part 2 - ชีวิตต้องลิขิตเอง
เรื่องราวอันแสนเข้มข้นของพาเน็มก็เดินทางมาถึงบทสรุปเสียที หลังจากที่หนังภาคแรกได้เคยทำให้เราเห็นเกมล่าชีวิตครั้งแรก บรรดาเด็กจากเขตต่างๆต้องมาเข่นฆ่ากันเองเพื่อแสดงให้เห็นว่าแต่ละเขตยังจงรักภัคดีต่อพาเน็ม แต่บทสรุปของหนังภาคแรกแคทนิสก็ได้ทำให้ประธานาธิบดีอย่างสโนว์เห็นว่าแคทนิสกำลังกลายเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้คนในพาเน็มเริ่มลุกขึ้นมา “ต่อต้าน” แคปปิตอล ก่อนที่ประธานาธิบดีสโนว์จะจัดการแข่งขันเกมส์ล่าชีวิตครั้งที่ 75 (The Quarter Quell) ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งขันครั้งพิเศษ ที่จะต้องนำอดีตผู้ชนะเกมส์ล่าชีวิตทั้งหมดจากทั้ง 12 เขตมาต่อสู้กันในหนังภาค Catching Fire และแคทนิสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ "ม็อคกิ้งเจย์" ผู้นำในการต่อต้านแคปปิตอล ซึ่งพีต้ากลับถูกประนาธิบดีสโนว์จับตัวไปล้างสมอง และแคทนิสได้ค้นพบว่าเขต 13 นั้นยังคงมีอยู่ในภาค The Hunger Games: Mockingjay Part 1
และเรื่องราวเล่าต่อเนื่องมาใน PA RT 2 เมื่อพาเน็มเป็นสนามสงครามเต็มรูปแบบ แคทนิส(เตนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) ต้องเผชิญหน้ากับประธานาธิบดี สโนว์ (โดนัลด์ ซูเธอร์แลนด์) ในสงครามครั้งสุดท้าย ร่วมด้วยกับกลุ่มเพื่อนรักของเขาประกอบด้วย เกล (เลียม เฮมส์เวิร์ธ), ฟินนิค (แซม คลาฟฟิน) และพีต้า (จอช ฮัทเชอร์สัน) – แคทนิส ออกไปร่วมรบกับเขต 13 ด้วยการเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตเพื่อปลดปล่อยชาวพาเน็มให้เป็นอิสระ และพยายามลอบสังหารประธานาธิบดีสโนว์ซึ่งเคียดแค้นและมุ่งหมายทำลายเธอมากยิ่งขึ้น ทั้งการวางกับดักมนุษย์, ศัตรูเต็มรูปแบบ และแบบทดสอบทางจิตใจที่รอคอยท้าทายแคทนิสมากขึ้นกว่าทุกสนามการประลองที่เธอเคยพบมา
ก่อนอื่นเลยคือหนัง PART 2 สนุกขึ้นมากกว่า PART 1 เพราะมีฉากแอ็คชั่น ตื่นเต้นในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันหลายส่วนในหนัง PART 2 ก็ยังมีความเยิ่นเย้อสามารถตัดออกได้ และเอาเข้าจริงแล้วหนังไม่มีความจำเป็นต้องแยกออกมาเป็น 2 PART เลยด้วยซ้ำไป (แต่เพราะเหตุผลในการทำเงินให้สตูดิโอนั่นแหละเป็นปัจจัยสำคัญ)
ความเข้มข้นในส่วนเรื่องราวทางการเมืองนั้นยังคงต้องยอมรับว่า The Hunger Game เป็นนวนิยายแนว Young Adult ที่เสียดสีระบบการเมืองได้อย่างแยบคาย อีกทั้งยังพูดถึงเรื่องการใช้อำนาจและการควบคุมสถานการณ์ในวิถีทางที่ผิด
เนื้อความต่อจากนี้อาจจะมีสปอยล์เล็กน้อย สำหรับผู้ที่ไม่เคยอ่านนิยายมาก่อนขอแนะนำให้ข้ามไป
บทสรุปสนใจของหนัง The Hunger Games: Mockingjay Part 2 คือการที่หนังทำให้เราเห็นว่าความพยายามล้างกระดานและการโค่นล้มประธานาธิบดีสโนว์นั้น เอาเข้าจริงแล้วประธานาธิบดีคอยน์ก็มีแผนในใจอยู่แล้วลึกๆ และการใช้แคทนิสที่สวมหัวโขนเป็นม็อกกิ้งเจย์นั้นแท้ที่จริงแล้วก็เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตนเองในการเรียกคะแนนนิยมในภายหลัง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วฉากก่อนที่สโนว์จะโดนประหาร การโหวตออกเสียงให้เกิดมติที่ว่าจะให้ลูกหลานของแคปปิตอลมาเล่นเกมล่าชีวิตกันเองนั้น ท้ายที่สุดแล้วมันก็เหมือนการวนอยู่ในอ่าง เช่นเดิม
ถึงท้ายที่สุดตัวละครอย่างคอยน์จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งนานไปกว่าเดิม แต่สิ่งที่แคทนิสได้พยายามทำก็คือความพยายามในการต่อสู้ให้เกิดระบบที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” โดยมาจากการเลือกตั้งของคนในพาเน็ม แทนการสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “ผู้รักษาการณ์” แบบประธานาธิบดีคอยน์ (หรือประเทศโลกที่สามไม่ใกล้ไม่ไกลจากหนังเท่าไหร่นักก็ด้วย)
เพราะอย่างน้อยการได้เลือก ก็ยังดีกว่าการถูกมัดมือชก และอย่างน้อยการที่พลเมืองในดินแดนนั้นๆมีสิทธิที่จะเลือก “ใช้ชีวิต” ของตัวเองได้ ก็ดีกว่าการถูกกำหนดชีวิตให้เป็นไปในตามลู่ทางของคนอื่น อย่างน้อยตัวละครแคทนิสก็ได้กลายเป็นหลักไมล์สำคัญในโลกภาพยนตร์ว่า เธอเป็นหนึ่งในตัวละครที่สามารถปลดแอกความไม่เท่าเทียมกันของสังคม ให้กลายเป็นสังคมที่มนุษย์จะสามารถ “เลือกใช้ชีวิต” ตามที่ตนเองปรารถนาได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
@พริตตี้ปลาสลิด
4 คะแนนจาก 5 คะแนน
อัลบั้มภาพ 6 ภาพ