วิจารณ์หนัง POINT BREAK - มีดีที่งานภาพ
POINT BREAK เล่าถึงเรื่องราวของ จอห์นนี ยูทาห์ (ลุค เบรซี่) เจ้าหน้าที่ FBI หนุ่มไฟแรงกับปฏิบัติการตามล่าแก๊งค์อาชญากรที่ปล้นเงินจำนวนมหาศาลจากธนาคารและแหล่งการเงินสำคัญทั่วโลก ด้วยการนำเทคนิคกีฬาซูเปอร์เอ็กซ์ตรีมหลากหลายประเภทมาใช้ในการโจรกรรมแบบไม่เกรงกลัวความตาย ซึ่ง ยูทาห์ ยอมเสี่ยงชีวิตแทรกซึมเข้าไปเป็นหนึ่งในกลุ่มอาชญากร เพื่อเป้าหมายที่จะจับตัวผู้นำของกลุ่มอย่าง โบห์ดี้ (เอ็ดการ์ รามิเรซ) ให้อยู่หมัด แต่ยิ่งสืบค้นลึกลงไปเท่าไหร่ จอห์นนี่ก็เริ่มตระหนักว่าชีวิตของเขากำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นอาชญากรรมครั้งใหญ่ ชีวิต ศักดิ์ศรี และคำว่าพี่น้อง จะกลายเป็นความท้าทายที่จะวัดใจ FBI เช่นเขา
พล็อตเรื่องคร่าวๆดูจะมีความคล้ายคลึงกับหนังแห่งยุคสมัยนี้อย่าง The Fast and The Furious ภาคแรกที่ตัวละครไบรอัน โอคอนเนอร์ต้องแทรกซึมแฝงตัวเข้าไปในแกงค์รถซิ่งเช่นกัน ทว่าจะต้องกล่าวกันตามตรงก็คือ POINT BREAK ในเวอร์ชั่นปี 1991 ต่างหากที่เป็น “ต้นแบบ” ให้กับ The Fast
สำหรับในเวอร์ชั่น 2015 นั้นก็ไม่แน่ใจว่าจะสร้างออกมาทำไม เพราะพล็อตเรื่องก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากเวอร์ชั่นต้นฉบับเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นหนังก็พยายามยัดทะนานบรรดาฉากกีฬาผาดโผน เอ็กซ์ตรีมเข้ามาจนล้นทะลัก แน่นอนว่าบรรดาฉากเหล่านั้นดูตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ แต่มองอีกมุมก็คือเหมือนกับหนังจะใส่ใจกับฉากเหล่านี้มากกว่าจะพัฒนาตัวละครให้ดูมีความเป็นมนุษย์ หรือพัฒนาบทของหนังให้ตรรกะมีความสมเหตุสมผลมากกว่านี้
ถึงแม้เราจะโยนตรรกะของความเป็นไปได้ของมนุษย์ทิ้ง เราก็ยังมีคำถามที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดตลอดทั้งเรื่องว่า นอกจาคติที่บรรดากลุ่มโจรกลุ่มนี้เชื่อมั่นในแนวคิดแบบสุดโต่งที่ว่า ถ้าหากสามารถฝ่าฟันด่านทดสอบทางธรรมชาติอันหฤโหดทั้ง 8 ได้จะนำไปสู่การบรรลุนิพพาน ซึ่งนิพพานของบรรดากลุ่มโจรกลุ่มนี้ก็ดูมีความย้อนแย้ง ลักลั่นในตัวเองสูงมาก ดังที่เราจะได้เห็นจากฉากหนึ่งที่มีตัวละครในทีมนี้เกิดเสียชีวิตกลางคัน หลังจากที่พวกเขาเศร้าเสียใจจากการจากไปของเพื่อนได้ไม่นาน ฉากถัดมาของหนัง(ซึ่งเวลาในหนังคงผ่านไปไม่กี่นาที) ตัวละครก็จัดปาร์ตี้กันอย่างอึกทึกครึกโครม มีเบียร์กองพะเนินอยู่บนโต๊ะ มีดีเจเปิดเพลงอีดีเอ็ม และพวกเขาก็สามารถสลัดความเศร้าแล้วมีความสุขได้ในชั่วพริบตา จนบางทีเราก็สับสนในตัวเองว่าคำว่า “นิพพาน” ในความเข้าใจของเรา กับความเข้าใจของทีมเขียนบทหนังเรื่องนี้คงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งไปกว่านั้นความไม่สมเหตุสมผลอย่างร้ายแรงก็คือตัวเอกของเรื่องอย่างจอห์นนี ยูทาห์นั้นน่าจะจัดได้ว่าเขาเป็นนายตำรวจ FBI ที่ทำงานได้แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์แอ็คชั่น เพราะนอกจากจะไม่มีเซนส์ในการสืบสวนสอบสวนแล้ว เขายังมีพฤติกรรมที่ประหลาดล้ำอาทิเช่น เขาสามารถเดินทางจากยอดเขาแอลป์กลับมาปารีสได้ในเวลา 1 วัน เพียงแต่มาพบหน้ากับนายตำรวจเพื่อแจ้งเบาะแส ทั้งๆที่เขาสามารถทำได้ด้วยการ “หยิบโทรศัพท์” ขึ้นมาคุยก็พอ!! (เปลืองงบประมาณหน่วยงานไหม) และยิ่งไปกว่านั้นคือฉากไคลแมกซ์ตอนท้ายที่มัวแต่ปล่อยให้หนังพล่ามเพ้อ โชว์ฉากโต้คลื่นขายความเท่ของ “บุรุษเพศ” จนตัวละครจอห์นนี คงลืมไปว่าหน้าที่ของเขาคือการฝ่าพายุมาเพื่อ “จับตัว” ผู้ร้าย หาใช่มัวแต่ให้ผู้ร้ายไปโชว์พาวแบบนั้น
ยิ่งคิดมากก็ยิ่งน่าปวดหัวกับตรรกะของหนังเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตามข้อดีประการเดียวของหนัง Point Break ฉบับนี้ก็คือหนังสามารถถ่ายภาพบรรดาวิว ทิวทัศน์และฉากกีฬาเอ็กซ์ตรีมออกมาได้งดงามและน่าตื่นตาตื่นใจ และมันน่าจะเป็นข้อดีประการเดียวของหนังเรื่องนี้เช่นกัน
@พริตตี้ปลาสลิด
1.5 คะแนนจาก 5 คะแนน