วิจารณ์หนัง LONDON HAS FALLEN ภารกิจใหม่ที่ไม่แปลกใหม่เท่าที่ควร
อันที่จริงหนังภาคแรกอย่าง Olympus Has Fallen ในปี 2013 นั้นพล็อตเรื่องว่าด้วยการบุกยึดทำเนียบขาวและจับประธานาธิบดีเป็นตัวประกันนั้นไม่ใช่พล็อตร่วมสมัยเลย เพราะเอาเข้าจริงมีหนังหลายต่อเรื่องทำหนังในบทแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะพล็อตคล้ายคลึงกันหรือใกล้เคียงก็ตาม แถมในปี 2013 หนังอย่าง White House Down ก็มีพล็อตเรื่องคล้ายคลึงกันเปี๊ยบ แต่ประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน แม้ว่า White House Down จะทำเงินทั่วโลกถึง 205 เหรียญก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากทุนสร้าง 150 ล้านแล้ว ก็ถือว่าหนังทำกำไรได้แบบพอหอมปากหอมคอ
ทว่า Olympus Has Fallen ทำเงินไปทั่วโลก 161 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 70 ล้านเหรียญ เรียกได้ว่าหนังทำไรราว 90 ล้านเหรียญ และแน่นอนว่าสตูดิโอก็ผุดแผนทำภาคต่อออกมาทันที แต่ก่อนอื่นเราต้องย้อนกลับไปมองกว่าว่าทำไมหนังฟอร์มเล็กกว่าอย่าง Olympus Has Fallen ถึงโดนใจผู้ชมขนาดนั้น เอาเข้าจริงตัวหนังภาคแรกเรียกได้ว่าเกิดเหตุการณ์ในสถานที่ปิดล้อมอย่างทำเนียบขาว การกลายเป็น “คู่หู” แบบจำเป็นระหว่าง ไมค์ เบนนิ่ง(เจอราด บัตเลอร์) และประธานาธิบดีเบนจามิน (แอรอน แอ็คฮาร์ท) จึงทำให้คนดูลุ้นเอาใจช่วยว่าทั้งสองจะรอดชีวิตและอยู่รอดปลอดภัยจนกระทั่งหนังจบเรื่อง เพราะไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่า “ใครสักคน” จะโดนสังหารหรือไม่
แม้ว่า Olympus Has Fallen จะเดินเรื่องตามสูตรสำเร็จแนวคู่หูเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันแต่ลีลาและประสบการณ์การกำกับของ อังตวน ฟูคว่า ที่ทำหนังแอ็คชั่นตำรวจมาหลายต่อหลายเรื่อง รู้จังหวะจะโคนในการเร้าอารมณ์ผู้ชมอย่างค่อยๆไต่ระดับได้อย่างน่าสนใจ
ทว่าเมื่อ LONDON HAS FALLEN นำเสนอเรื่องราวที่ว่าด้วยเหตุการณ์ให้หลังหนังภาคแรก 2 ปีและมีกลุ่มตัวร้ายเป็นชาวตะวันออกกลางที่พยายามจะล้างแค้นเหล่าประเทศโลกที่ 1 ที่เคยไปทิ้งบอมบ์สังหารวายร้ายหมายเลข 1 แต่ดันพลาดกลายเป็นการสังหารผู้บริสุทธิ์ไปแทน ยามถึงเวลาพวกเขาจึงหวนกลับมาล้างแค้นด้วยการสร้างแผนลวงในการแฝงตัวเข้าไปเป็นตำรวจที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัยในงานศพของผู้นำประเทศอังกฤษ ซึ่งจะมีบรรดาเหล่าผู้นำจากหลายประเทศทั่วโลกเดินทางมาร่วมงาน
แน่นอนว่าตัวเอกจะต้องไม่ทราบถึงกลลวงดังกล่าวและเข้ามาติดในวงล้อม เพื่อเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ปัญหาของมันอยู่ที่บทหนังอันแสนหลวมโพรกและไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิดว่าบรรดาผู้นำของหลายๆประเทศนั้น เดินทางมางานศพราวกับมาพักร้อนต่างแดน บ้างก็อ้อยอิ่งก็อยู่บนวิหารดูวิวทิวทัศน์, ประธานาธิบดีฝรั่งเศสก็นั่งเรือเช็คงานอย่างดูสบายอารมณ์, นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นพร้อมคนขับรถ(ที่คล้ายโชเฟอร์แท็กซี่) ก็ยิ่งทำให้เรามองเห็นความไม่สมฐานะและไม่สมเหตุสมผลในการเดินทางเข้าร่วมงานอย่างร้ายแรง
ฉากแอ็คชั่นของ LONDON HAS FALLEN ไม่ใช่ข้อด้อย ฉากเหล่านี้ยังเรียกได้ว่าสนุกและบันเทิงอยู่ แต่ในส่วนของงานเทคนิคพิเศษโดยเฉพาะการทำซีจีนั้นต้องบอกว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ “แย่” เพราะไม่แนบเนียนและดูปลอมอย่างมาก โดยเฉพาะฉากระเบิดที่ไม่เข้าใจว่าทำไมหนังเรื่องนี้ทำระเบิดจริงให้ดูเหมือนระเบิดซีจีไปได้!
อารมณ์ขันอันแห้งเหือดของหนัง ก็ยังมีให้เห็นประปราย และโผล่ขึ้นมาในช่วงหลังจากกลางเรื่องไปแล้ว อย่างไรก็ตาม LONDON HAS FALLEN เป็นหนังภาคต่อที่ไม่มีอะไรใหม่ และความไม่ใหม่ครั้งนี้ก็ไม่บันเทิงเท่าที่ควรเมื่อเปรียบเทียบกับหนังภาคแรก ถึงจะโยนตรรกะและความสมเหตุสมผลของหนังทิ้งไปก็ตาม แต่มันก็ยังไม่ค่อย “สนุก” อย่างที่ควรจะเป็นอยู่ดี
@พริตตี้ปลาสลิด
2 คะแนนจาก 5 คะแนน
อัลบั้มภาพ 5 ภาพ