ดูแล้วบอกต่อ วิจารณ์หนัง บุปผาอาริกาโตะ - บุปผาคนใหม่?
กว่า 7 ปีเต็มที่เรื่องราวของ บุปผาราตรี ได้ห่างหายไปจากจอหนังถึง 7 ปีเต็มด้วยกันนับตั้งแต่บุปผาราตี 3.2 ที่ออกฉายในปี 2552 จะว่าไปแล้วความสำเร็จของ “ผีบุปผา” น่าจะเป็นผีไทยเพศหญิงที่มีความชัดเจนในคาแรกเตอร์และกลายเป็นที่จดจำมากในวงการหนังไทยในรอบ 20 ปีให้หลัง และแน่นอนว่าบุคคลที่สร้างให้ตัวละครนี้กลายเป็น “ป๊อปคัลเจอร์” แห่งวงการหนังผีไทยก็คือ “ยุทธเลิศ สิปปภาค” นั่นเอง
หากย้อนกลับไปที่บุปผาราตรีภาคแรก เล่าถึงหญิงสาวที่ชื่อ บุปผา (พลอย เฌอมาลย์) แห่งห้องพัก 609 ในออสการ์อพาร์ทเมนต์ที่พบวิกฤตความรักกับแฟนหนุ่มและทำให้เธอกลายเป็นผีสาวที่ออกหลอกหลอนผู้คนในตึกแห่งนี้ ร้อนจนถึงเจ๊สี่เจ้าของอพาร์ทเมนต์ที่ต้องหาหมอผีมาปราบ จนกลายเป็นเรื่องราวขนหัวลุก ตัวหนังเรียกได้ว่าผสมผสานความตลกเข้ากับความสยองขวัญได้อย่างลงตัวประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์อย่างมาก ก่อนจะมีภาคต่อตามออกมาคือภาค 2 และ 3.1 กับ 3.2
สำหรับบุปผาอาริกาโตะนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการ “ลอกคราบ” เรื่องราวของบุปผาครั้งใหม่ เพราะตัวหนังเล่าเรื่องราวของ โรส (เก้า สภัสสรา ธนชาต) ที่ต้องหนีรักไปพักร้อนตากอากาศถึงประเทศญี่ปุ่น แต่ ณ บ้านพักแห่งนี้กลับขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่เคยเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมจนมีวิญญาณร้ายสิงอยู่ในบ้าน นอกจากนี้ที่บ้านพักโรสยังได้พบกับแก๊งถ่ายมิวสิควิดีโอจากไทย (แก๊งแฟนฉัน) แต่แน็ก (ชาลี ปอทเจส) กลับมีหน้าตาคล้ายกับแฟนเก่าโรสราวกับคนเดียวกัน เหตุการณ์ชุลมุนปนสยองจึงเริ่มต้นขึ้น
จะว่าไปแม้ว่าจะเปลี่ยนบรรดาตัวละครหลักของเรื่อง แต่เอาเข้าจริงแล้วเนื้อแท้ของบุปผาอาริกาโตะก็ยังยึดโครงเรื่องของคนที่ผิดหวังในความรักและไม่รู้จะหาทางออกให้กับชีวิตอย่างไร เช่นเดียวกับในเวอร์ชั่นต้นฉบับ เพียงแต่การใช้ชื่อ “บุปผา ราตรี” นั้นถูกเอามาใช้แค่เป็นการเปรียบเทียบให้พอนึกภาพเดิมออกบ้าง แต่เอาเข้าจริงแล้วความสนุกหรือกระทั่งความน่ากลัวของเรื่องนั้นก็เทียบเวอร์ชั่นดั้งเดิมไม่ได้เลยสักนิดเดียว
บรรดาแก๊งแฟนฉันอาจจะทำหน้าที่เป็นตัวตลกได้ไม่นาน และสักพักก็เหมือนมุกตลกก็จะเริ่มฝืดเฝือขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับบรรดาตัวละครหมอผีที่รับบทโดยพงศ์เทพ อนุรัตน์ (ล้อเลียนเณรคำ), เสนาหอย เกียรติศักดิ์ อุดมนาค (ล้อเลียนบรรดาคนทรงเจ้า) และอังเคิล อดิเรก วัฏลีลา ก็มาพร้อมกับบทตำรวจปราบผี ทั้งสามก็ทำหน้าที่เป็นตัวละครไล่ผีที่พอจะขำได้หึๆ ส่วนฉากความน่ากลัวนั้นในช่วงแรกของเรื่องที่เรายัง “จับทางหลอก” ของผีในบ้านไม่ได้ก็นับว่าเป็นโมเมนต์ที่ชวนเสียวไม่น้อย เพราะตัวละครเล่นถือของมีคมกันอยู่ตลอดเวลา แต่พอคนดูเริ่มจับทางได้ ความน่ากลัวเหล่านั้นก็กลายเป็นมุกซ้ำซากที่เอามาใช้จนจบเรื่องและไม่มีความน่ากลัวอีกต่อไป
น่าเสียดายที่การยกกองถ่ายกันไปถึงประเทศญี่ปุ่นในบุปผาอาริกาโตะนั้นจะช่วยทำให้หนังรู้สึกสดใหม่หรือแปลกตาขึ้น เพราะตัวโลเคชั่นของหนังก็ไม่ได้ช่วยเกื้อกูลเนื้อเรื่องให้คืบหน้าไปกว่าเดิม (หนังถ่ายโลเคชั่นแค่ 2 หลังคือบ้านพักของตัวละครหลักและบ้านพักของนาวิน (ต้าร์) เยาวพลกุล ซึ่งเอาจริงๆหนังถ่ายทำที่ประเทศไทยตามภูเขา น้ำตก ทะเล (บ้านพักตากอากาศ) ก็ให้อารมณ์ไม่ต่างกันนัก (การเคลมว่าตัวละครต้องหนีมาพักใจ เล่นสกี ก็ดูไม่ค่อยจำเป็น เพราะเคลมว่าหนีไปปีนเขา เล่นน้ำตก ลงทะเล ก็ให้อารมณ์อกหักได้พอๆกัน จะเปลืองงบค่าเครื่องบินทำไม!!)
ภาพรวมคือบุปผาอาริกาโตะนั้นเป็นหนังไทยที่ไม่ได้เลวร้ายขนาดทนดูไม่ได้ ขณะเดียวกันหนังก็ไม่ได้โดดเด่นขนาดน่าจดจำหรือกล้าเอ่ยปากได้ว่านี่เป็นหนังที่สนุก เพราะเป็นหนังที่กลางมาก กลางจนเฉยๆเลยก็ว่าได้
@พริตตี้ปลาสลิด
2 คะแนนจาก 5 คะแนน
อัลบั้มภาพ 5 ภาพ