เป็นมากกว่าการแสดง! จากใจ อนันดา เมื่อต้องมาเป็น "ขุนพันธ์"
"คือ 4 นาทีที่ต้องจำคิวเป๊ะๆ เป็นลองเทคแบบที่ไม่มีคัท โชว์แอ็คชั่นรวดเดียวเลย เป็นฉากยากมากแล้วก็ถอยไม่ได้ เพราะว่าเราสัญญากับพี่โขมไว้แล้ว เฮ้ย มาซะขนาดนี้แล้ว ต้องแมนต้องทำให้ได้ กี่เทคเราก็ต้องทำให้ได้ ในฉากนั้นต้องสู้กับสตั้นท์อยู่ 20 กว่าคนพอเราใช้พลังเต็มที่ มาถึงศัตรู2-3 คนสุดท้ายนี่คือหมดแม็กจริงๆ มันคือเฮือกสุดท้าย อีกนิดเดียวจะเป็นลมอยู่แล้ว รู้สึกว่าถ่ายไป 9 เทค พอเล่นเสร็จก็จะมีทีมเข้ามาพร้อมกับถังออกซิเจน ถ้าให้พูดถึงก็น่าจะเป็นวันที่เหนื่อยที่สุดในเรื่องนี้"
ความรู้สึกครั้งแรก หลังจากที่ถูกทาบทามให้เข้ามามีส่วนร่วมสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง “ขุนพันธ์”
- สวัสดีครับ ผมอนันดา เอเวอริงแฮม สำหรับเรื่องนี้ผมเล่นเป็นขุนพันธรักษ์ราชเดชครับ คือจริงๆแล้ว สำหรับผมครั้งแรกที่ผมได้ยินหรือการเอ่ยชื่อถึงท่านขุนพันธ์ ก็คือจะเป็นเรื่องของจตุคามใช่เปล่า ซึ่งตัวผมเองก็อาจจะไม่ใช่คนที่ได้รู้จักอะไรเกี่ยวกับตัวท่านมากไปกว่านั้น เคยได้ยินถึงขุนพันธ์ วันหนึ่งพี่โขม(ก้องเกียรติ โขมศิริ)เขาเอาบทมาให้เขาก็เล่าให้ฟังว่าก็คือคนนั้นแหละ ซึ่งสำหรับตัวผมเองโดยส่วนตัวอยากทำงานกับพี่โขมอยู่แล้ว ลึกๆถึงแม้ผมอาจจะไม่ได้บอกพี่โขม เหมือนในใจก็ได้รับไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นเราก็อาจยังไม่รู้ว่าหนังเกี่ยวข้องกับ ได้รู้จักพี่โขมมานาน ยิ่งคราวนี้ได้รู้ว่ามีพี่น้อยเล่นอีกคนหนึ่งก็ยิ่งอยากเล่นเข้าไปใหญ่ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นนักแสดงที่ผมชื่นชอบ นับถือมาตั้งนานก็เลยอยากจะเล่นคู่กับเขา พอกลับไปอ่านบท ก็รู้สึกเลยว่าเป็นบทที่พี่โขมเขาทุ่มเทมาก เขาปล่อยหมดแม็กจริงๆนะครับ ครั้งแรกที่อ่านก็แบบตายแล้ว นี่มันหนังแบบ Pirate of the Caribbean ก็เลยต้องมานั่งคุยกับพี่เขาอีกทีหนึ่งว่า โห พี่จะเอาขนาดนี้เลยเหรอ เขาก็จ่อย พี่ขอสักครั้งหนึ่งในชีวิตพี่ที่จะปล่อยของจริงๆอะไรอย่างนี้ ก็เลยพอได้ยินจากพี่โขมว่าเขาเอาสุดเอาเต็มที่สำหรับเรื่องนี้ก็ตื่นเต้น แรกๆก็อาจจะมีตกใจนิดหน่อย กลายเป็นสนุก เพราะว่าเราได้ไปเริ่มเข้าบทบาท ได้เริ่มซ้อมคิวแอคชั่น พอได้เริ่มฟิตติ้ง เริ่มติดหนวด ทุกอย่างมันก็เริ่มจริงขึ้นก็กลายเป็นความอินครับ
ความรู้สึกของนักแสดงอย่างอนันดา ที่มีต่อท่านขุนพันธ์...
- คือทุกครั้งที่เราต้องเล่นเป็นคนที่มีจริงในประวัติศาสตร์ มันก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนพอสมควร ผมรู้ว่าการที่ผมเป็นนักแสดงคนหนึ่งมีหน้าที่เป็นนักแสดง คือเราก็ต้องเคารพต่อประวัติศาสตร์ของท่านเองด้วย ก็เลยได้ไปศึกษา ผมเองก็ไม่ได้รู้ลึกถึงเรื่องพวกอาคม ก็จะคุยกับพี่โขมตลอดว่าท่านเป็นคนสำคัญต่อประวัติศาสตร์มาก ผมก็รู้สึกว่าเราควรจะต้องเข้าใจประวัติของท่าน ก็พอไปลงลึกก็เห็น หูย ท่านไม่ใช่คนธรรมดาจำนวนของโจรที่ท่านปราบนี่คือแบบเป็นหลักร้อยหรือเปล่า คือมันเป็นประวัติศาสตร์ของนายตำรวจที่อาจจะนับว่าสุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยก็ว่าได้
ความประทับใจพิเศษที่เกิดขึ้นต่อภาพยนตร์เรื่อง “ขุนพันธ์”
- จากที่ผมเข้าใจก็คือ สหมงคลฟิล์มเองก็อยากจะมีตัวละครที่เป็นสไตล์เจมส์ บอนด์ ซึ่งก็นี่ละครับขุนพันธ์ ก็เป็นเหมือนเจมส์ บอนด์ของจริง อาจจะเรียกว่ายิ่งกว่าเจมส์ บอนด์ ที่แน่นอนก็คือโหดกว่าเจมส์ บอนด์ครับ ความประทับใจที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้มีเยอะมาก เพราะนับได้ว่าเป็นหนังสุดเกือบทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นฉาก เป็นแอคชั่น ตัวละคร มันครบถ้วนจริงๆ พอได้รับบทบาทอย่างนี้เหมือนได้กลับไปเล่นเกมตอนเด็กๆ ไล่จับโจร ทุกครั้งที่ใส่หนวดมันจะมีแบบความรู้สึกที่ค่อนข้างพิเศษหน่อย เหมือนเราได้แปลงร่างครับ ได้มาติดหนวดเขี้ยว จะรู้สึกว่า..เราได้ทำในสิ่งที่ค่อนข้างพิเศษมาก
คำนิยามเมื่อเอ่ยชื่อท่านขุนพันธ์
- ตัวขุนพันธ์เองท่านเป็นคนที่แลกทุกอย่างด้วยความดีครับ ถ้าให้คำจำกัดความ ท่านขุนพันธ์คือนักสู้ นักล่า นักต่อรอง อาวุธหลักที่ท่านใช้ก็เป็นดาบกับปืน แต่นอกเหนือจากนั้นท่านก็จะมีวิชาอาคม
อนันดามีการกำหนดบทบาท ตีความ และให้ความสำคัญกับ คาแรคเตอร์ตัวละคร ขุนพันธ์ อย่างไร
- คาแรคเตอร์ของขุนพันธ์ก็จะเป็นนักสู้ นักล่า แล้วก็นักต่อรองครับ อาวุธหลักของท่านก็จะมีปืนแล้วก็ดาบ ตัวท่านขุนพันธ์เองจะมีประโยคเด็ดของท่านเป็นประโยคที่ผมชอบมากครับ ก็คือ ถ้าพวกมึงสัญญาเลิกเป็นโจรแล้วไปบวชซะ กูสัญญาว่าจะจับเป็นพวกมึง เป็นประโยคที่เท่มากของขุนพันธ์ครับ คือก็ได้เห็นว่า ขุนพันธ์เอง ท่านก็เป็นคนที่เหี้ยม แต่ว่าก็แฟร์ ซึ่งอันนี้ก็มาจากประวัติศาสตร์จริงด้วย นอกจากนั้นท่านขุนพันธ์ก็จะมีความพิเศษอยู่ตรงที่ว่าท่านเป็นคนที่มีวิชาอาคม ยึดมั่นในความดีและนับถือความถูกต้อง แล้วก็อยู่ได้ด้วยความศรัทธา สำหรับในภาพยนตร์จริงๆแล้ว ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับขุนพันธ์ก็คือมาจากพี่โขม แต่สำหรับขุนพันธ์เวอร์ชั่นนี้คือเราจะตีความให้มันเป็นแฟนตาซีขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เพราะถ้าจะให้ตรงกับตัวจริงของท่าน คือท่านโด่งดังเรื่องการที่ท่านเป็นคนที่ตัวเล็ก พี่โขมก็รู้สึกว่าอยากให้ขุนพันธ์เวอร์ชั่นเราเป็นคล้ายๆกับขุนพันธ์ในเวอร์ชั่นที่คนเขาร่ำลือกัน ใหญ่กว่าชีวิตจริงหน่อย ซึ่งพอเราได้ศึกษาบท ประวัติของท่าน ซึ่งตัวขุนพันธ์เองในหนังเรื่องนี้ก็จะมีหลายเวอร์ชั่น ก็จะเริ่มตั้งแต่เป็นนายตำรวจอ่อนหัด แล้วก็ค่อยมีการเติบโตของตัวละคร คือในหนังเราไม่ได้ตีความว่าเปิดมาแล้วท่านได้เป็นขุนพันธ์ที่เราร่ำลือกันลย ผมก็เลยพยายามมองคาแรคเตอร์ที่ตีความไว้ คือพยายามคิดให้เป็นมนุษย์ให้มากที่สุด เราก็ต้องไปหาเหตุผลว่าทำไม เกิดเหตุอะไรที่ทำให้ท่านต้องกลายเป็นขุนพันธ์
สำหรับในการถ่ายทอดคาแรคเตอร์ขุนพันธ์ ที่พยายามทำการบ้านและตีความออกมานี่ คือสิ่งที่ผมเองอยากจะเล่า อยากจะเล่นออกมาให้คนเห็นว่าท่านเอง หรือตัวละครที่เราต้องการสื่อออกมามีการเติบโตเหมือนกัน คือไม่ได้แบบอยู่ดีๆก็มีอาคม อยู่ดีๆก็เป็นคนที่โหดเหี้ยม มันมาจากการที่เขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมรอบตัวเขา ชาวบ้านที่ได้ถูกฆ่าและรังแกหรือทารุณ ไอ้ตรงนั้นมันจุดประกายที่เขารู้สึกว่านี่คือการสู้ไฟด้วยไฟ คือเขารู้สึกว่ามันเป็นทางออกเดียว ณ ตรงนั้น เหมือนผมพยายามจะเพิ่มความแค้นของตัวละครเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เข้าเซ็ตกับพี่น้อย ผมก็จะพยายามดึงของเขามาใช้ เพียงแต่ว่าด้วยกฎของขุนพันธ์นี่คือกฎกติกาของกฎหมาย มันจะมีเส้นบางๆที่มันสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างขุนพันธ์ กับตัวอัลฮาวียะลูที่พี่น้อยเขาเล่น ศัตรูของขุนพันธ์ คือผมรู้สึกมันร้อนเท่ากัน เดือดเท่ากัน เพียงแต่ว่าของขุนพันธ์ต้องมีต้องคุมมันได้ อาศัยกฎหมายที่เป็นหลักการของเขา ผมไม่ได้ตีความว่าขุนพันธ์เป็นพระเอก หรือเป็นคนดีหรือไม่ดี ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นคือเขาเป็นคนที่เดือดพอสมควร เพียงแต่ว่าเขามีกฎหมายที่เป็นหลักการของชีวิต ความถูกต้องของเขา
เราจะได้เห็นการทำงานในพาร์ทแอ็คชั่นดีไซน์เดือด ชนิดทุ่มเกินร้อยของอนันดาในบทขุนพันธ์ที่ทุกคนคาดไม่ถึง
- ด้วยความเป็นหนังแอคชั่นเต็มรูปแบบทำให้ในภาพยนตร์จะมีฉากแอคชั่นที่สำคัญๆ และน่าสนใจเยอะมากอย่าง ฉากที่ขุนพันธ์ต้องสู้กับ เสือสัง(เดี่ยว ชูพงษ์) มาจากการหลวงโอฬาร(แฟรงค์ ภคชนก์) ได้ให้ อัลฮาวียะลู(น้อย กฤษดา) มาจัดการกับขุนพันธ์แต่จัดการไม่ได้ ก็เลยไปเอาเสือสังมาจัดการกับขุนพันธ์อีกที เมื่อเกิดอันตรายในหมู่บ้านขึ้นมา ขุนพันธ์ก็พยายามจะเอาชาวบ้านหนีขึ้นรถไฟ เกิดการต่อสู้บนโบกี้รถไฟกับเสือสังระหว่างที่ขุนพันธ์พยายามจะเอาชาวบ้านหนี ถือเป็นฉากแอคชั่นใหญ่โตมโหฬารในการไล่ล่า เป็นฉากสู้กับพี่เดี่ยวที่เดือดฮะ ร้อนมาก เกือบตายครับ ผมก็ไม่เข้าใจนะ หนังพวกนี้ทำไมไม่ไปถ่ายในเขาเย็นๆกันบ้าง ต้องไปอยู่ในทุ่งร้อนๆคลุกกับดินคลุกทราย ในพาร์ทที่ต้องต่อสู้กับพี่เดี่ยวมันจะผ่านการต่อสู้กันหลายที่ สู้กันทั้งในโบกี้รถไฟ บนหลังคารถไฟ แล้วก็มีช่วงที่ตกจากรถไฟ กระโดดขึ้นรถไฟอีกรอบ ขี่ม้าตามรถไฟ โอ้โฮ มันเป็นซีเควนซ์ที่ค่อนข้างยาวพอสมควร คือมันอาศัยความถึกนะ ผมว่าผมก็เล่นหนังแอคชั่นมาเยอะพอสมควร ก็อาจจะไม่เคยเจออะไรที่มันเหนื่อยขนาดนี้ ก็พอเล่นเสร็จก็สลบ แบบไม่พูดอะไรกันนะ ไม่มี เฮ้ย ดีนะนาย คือเล่นเสร็จ คัท บางคิวนี่ถึงกับมีออกซิเจนมาด้วย มาสแตนบายเผื่อ เพราะมันจะมีคิวที่ผมต้องเล่นแบบone long takeสู้กับโจร 20-25 คน ทีมงานมีการเตรียมถังออกซิเจนมาเลย พอคัทเสร็จคือหน้ากากหายใจออกซิเจนมา มันโหดร้ายมาก โลเคชั่นที่เขาเลือกกันน่ะ คือมันร้อนจริงๆ ก็ทุกวันอาจจะเสียน้ำไปเป็นแบบสิบๆลิตร พอเหงื่อมันออกพวกเมคอัพพวกหนวด มันก็จะเริ่มหลุดไปทีละอย่างๆ บางทีก็จะอึดอัด เพราะว่าพอเขาคัททุกคนก็จะรุม บางทีเราก็บอกว่า ขอแป๊บนึง ขอหายใจสักสิบวิ แล้วค่อยมารุมต่อ นับว่าเป็นหนังที่ใช้พลังงานสูงมาก ด้วยทักษะการสู้คือจริงๆตัวละครเราจะไม่เท่ากับตัวละครของพี่เดี่ยวเขา ของพี่เดี่ยวเขาก็จะเน้นเร็วและลีลา ของผมก็จะหนักหน่วงแล้วก็จะโดนเขาเยอะฮะ ของเราก็จะเน้นเป็นแบบทีเดียวตายเลย ขอโดนทีเดียวตายแน่นอน แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นก็คือโดนเยอะมากเลย พี่เดี่ยวเขาก็จะมีอาวุธเป็นคารัมบิต คือเขาเน้นใช้ความเร็ว ก็จะมีพลาดกันบ่อย คือนิ้วแหกนิ้วบวมก็ได้เสียเลือดกันบ่อยเหมือนกันกับพี่เดี่ยว แต่ก็เป็นฉากที่น่าสนใจมากเพราะว่ามันได้โชว์หลายอย่างจริงๆ ได้โชว์แอคชั่นแบบที่ใช้อาวุธ ใช้พรอพ ได้โชว์แอคชั่นแบบที่เน้นลีลา ได้โชว์แอคชั่นแบบที่ใช้สลิง มันครบเลย คิวแอคชั่นที่องค์ประกอบมันเยอะ ส่วนมากเราต้องต่อสู้นอกจากตัวละครจะเยอะ เราต้องสู้กับคิวที่จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ค่อนข้างซับซ้อน เพราะบางทีเราต้องสู้ทีแบบ 3-4 คนพร้อมกัน แล้วก็พื้นที่อาจจะจำกัดอย่างเช่นอยู่ในโบกี้รถไฟ พื้นที่มันก็มีอยู่แค่นั้น หลายๆครั้งก็ ถ้าดูในหนังมันก็เป็นคิวที่มันคิดสดเหมือนกัน บางทีเราก็แบบ เฮ้ยมันมีของตรงนี้ เราหยิบไอ้นี่มาทุ่มไหม หรือแบบเรากระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้ตัวนี้ แล้วก็ค่อยกระโดดลงมาฟันหรือเปล่า บางทีดีไซน์สดเลย เดี๋ยวโดดออกหน้าต่าง ขึ้นหลังคาโบกี้แล้วค่อยกลับลงมาอีกฝั่ง แต่ที่เจอกับพี่เดี่ยวจะเป็นฉากบู๊ที่ค่อนข้างยาวมาก
เมื่ออนันดาพูดถึง น้อย กฤษดา ความลงตัวของเคมีทางด้านการแสดงระหว่าง 2 นักแสดงพลังล้นเหลือคือ
- ส่วนหนึ่งที่รับเรื่องนี้ก็เพราะมีพี่น้อยเล่นอยู่ ได้ยินมาเยอะแล้วไงว่าเขาไม่ธรรมดาซึ่งก็ได้เห็น ผมว่าผมไม่เคยเจอนักแสดงคนไหนที่จะสวมบทบาทได้ลึกขนาดที่แกทำ บางทีมันถึงขั้นน่ากลัวด้วยซ้ำไป บางที่ผมไม่รู้ว่า..เรียกว่าควบคุมตัวเองไม่อยู่รึเปล่า บางคิวที่แบบทุกคนเป็นห่วงว่า เฮ้ย ตอนคิวสู้กันจะรอดไหม เพราะว่าพี่น้อยเขาจะเล่นแบบสุดตัวจริงๆ เขาก็ห่วงเดี๋ยวจะโดนกันจริง มันก็มีโดนกันจริงหลายรอบ ก็ขอโทษกันไป แต่ว่าสิ่งที่ผมว่ามันน่าสนใจในอัลฮาวียะลู นั้นคือไอ้ความเดือดนั้นมันจะออกมาได้อย่างไร ซึ่งผมว่าพี่น้อยเขาทำได้ดีมาก ทุกวันที่เข้าฉากกับพี่น้อยก็คือผมไม่เตรียมอะไรเลย ตัวละครของผม ผมมีกฎกติกาของผมอย่างนี้ นี่คือสิ่งที่ตัวละครขุนพันธ์ทำได้ แล้วเราก็จะมาดูว่าพี่น้อยจะมาด้วยอะไร แล้วค่อยรีแอ็คตามเขา เพราะไม่มีทางที่เราจะรู้ว่าแกจะเล่นแบบไหน บางทีแกเปลี่ยนเทคต่อเทคเลยอะไรอย่างนี้ ซึ่งผมว่ามันทำให้ตัวละครเขาน่าสนใจ เดี๋ยวเงียบเดี๋ยวดูสุขุม เดี๋ยวโหวกเหวกโวยวายขึ้นมา คือเราก็ต้องเตรียมพร้อมด้วย เพราะขุนพันธ์เองก็ต้องค่อนข้างแกร่ง จิตต้องแกร่งเหมือนกัน แล้ว2ตัวละครนี้ก็ต้องมาสู้กันด้วยจิตด้วย ซึ่งตอนผมเล่นก็ต้องอย่าไปคล้อยตามแกมากเกินไป คือถึงแม้ว่าเขาเป็นคู่ปรับของเรา แล้วเราแพ้ทางเขาในบางส่วน มันก็ต้องมีบางจุดที่ต้องคอยเตือนตัวเองว่า เฮ้ย อันนี้เราต้องหยุดต้องนิ่งกว่านี้ ไม่ใช่เขาเล่นมาแรงแล้วเราก็พยายามจะปะทะเขาอย่างเดียว เราก็ต้องหาจุดที่มันพอดี ระหว่างเล่นมันต้องมีสมาธิตลอด
การทำงานร่วมกันกับผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ
- เรารู้จักกันมานานแล้ว ก่อนรู้ว่าจะได้ทำโปรเจกต์นี้ ไม่ต้องมาปรับตัว หรือต้องมาเข้าใจกันอะไรมากมาย เราก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนยังไง เขาจริงจังแค่ไหนกับงานของเขา แล้วเขาเป็นคนที่ค่อนข้างอินกับบท และตัวละคร เขาชอบตีความด้านลึกของตัวละคร คือเขาพยายามจะขุดขึ้นมาให้ได้ว่าตัวละครคือใคร ปมคืออะไร ซึ่งผมก็ชอบมาก ก็สนุก เราก็จะมีช่วงเวลาหลายเดือนก่อนถ่าย เขาจะไปดูโลเคชั่นเลยปราณบุรีลงไป กุยบุรีแถวนั้นนะครับ ก็จะมีบ้านของพี่โปรดิวเซอร์คนหนึ่งที่เป็นจุดที่ทีมเขาจะไปประชุมกันคุยกันเรื่องของตัวละคร โลเคชั่น การเตรียมงาน ผมจะชอบไป ก็เป็นช่วงเวลาที่ตัวละครของขุนพันธ์มันเริ่มกลมขึ้น เริ่มกลายเป็นคนขึ้นมากเรื่อยๆ ซึ่งทำงานมันจะสนุก มันคือการแชร์กันแล้วก็หาทางออกที่ดีที่สุด ครั้งแรกที่เราอ่านเราว่าเรื่องมันสนุก แต่ว่าตัวละครหลายตัวนี่มันอาจจะยัง เหมือนเราแค่ได้อยู่ผิวเผิน แต่พอในช่วงเวลาที่เราได้ไปคุยกันเยอะๆนั่นก็คือช่วงที่ตัวละครตัวนี้มันจะมีชีวิตขึ้นมา
เล่าถึงฉากแอ็คชั่นสำคัญที่ทั้งท้าทาย และเปรียบดั่งสัญญาลูกผู้ชายของ ก้องเกียรติ โขมศิริ และอนันดา เอเวอริงแฮม
- มันจะมีฉากแอคชั่นอยู่ฉากหนึ่งที่ผมกับพี่โขมเคยคุยกันไว้ มันเกิดมาจากการที่เราถกกัน เราต้องมีสักฉากหนึ่งไหมที่เป็นฉากจำ หรืออย่างน้อยเป็นฉากที่แตกต่างไปจากหนังแอคชั่นทั่วไป ถ้าจะให้ล้ำจริงต้องเป็นเทคเดียวอยู่ แบบที่ไม่มีคัท คือรวดเดียวโชว์แอคชั่นแบบล้วนๆเลย เราก็เลยนึกถึงหนังเรื่องOld Boy ที่มันจะเป็นการแทรคตัวละครเคลื่อนไปด้านข้างของเฟรมกล้อง แล้วก็สู้กับศัตรูเป็นสิบๆ ก็เลยเกิดการดีไซน์ฉากนี้ขึ้นมาก็ได้ซ้อมกับทีมสตั้นท์ แต่บางทีในห้องซ้อมกับหน้าเซตมันจะต่างกัน พอถึงหน้าเซตนี่แทบจะต้องเริ่มต้นใหม่ ฉากที่อยู่ในโบกี้รถไฟที่เขาผ่าโบกี้รถไฟเป็นครึ่งเพื่อที่เราจะได้เห็นด้านใน แล้วก็เป็นตัวละครสู้จากท้ายโบกี้มาหัวโบกี้ โดยที่ระหว่างนั้นก็จะมีทีมสตั้นท์คอยเข้ามาทีมละ 3-4 คน ทั้งหมดซีนนั้นใช้เวลาประมาณ 4 นาที โดยที่เป็น 4 นาทีที่ต้องจำคิวเป๊ะๆ เราก็ต้องปรับตัวเข้าฉากใช่ไหม หลายอย่างที่เราซ้อมไว้ก็ต้องแก้ไข ปรับ แล้วก็คิดใหม่ ก็เป็นฉากที่นับว่ามันยากมากแล้วมันก็ถอยไม่ได้ เพราะว่าเราก็สัญญากับพี่โขมไว้แล้วว่า เฮ้ย มาซะขนาดนี้แล้ว ต้องแมนต้องทำให้ได้ กี่เทคเราก็ต้องทำให้ได้ แต่บางทีเราลืมไปว่า 4 นาทีนั้นพอเราใช้พลังเต็มที่ พอมาถึงศัตรูแบบ 2-3 คนสุดท้ายนี่คือหมดแม็กจริงๆ ถ้าดูในหนัง ผมว่ามันจะเห็นว่าพอมาถึง 3-4 คนสุดท้าย มันคือแบบเฮือกสุดท้ายจริงๆ อีกนิดเดียวจะเป็นลมอยู่แล้ว พอเล่นเสร็จก็จะมีทีมเข้ามาพร้อมกับออกซิเจน รู้สึกว่าถ่ายไป 9 เทคนะถ้าจำไม่ผิด ถ้าให้พูดถึงก็น่าจะเป็นวันที่เหนื่อยที่สุดในเรื่องนี้ก็หวังว่าพี่โขมไม่ใช้เทคแรกนะ ใช้เทคแรกผมฉุนเลยนะ แต่ก็ยากมากฮะ เพราะว่าผิดพลาดทีก็ต้องเริ่มต้นใหม่แต่พอทำได้ก็เป็นฉากจำสำหรับผม เป็นฉากที่ภาคภูมิใจมาก ในฉากนั้นน่าจะมีสตั้นท์อยู่ 20 กว่าคนนะ ก็คือสตั้นท์ทั้งหมดทีมสตั้นท์น่ะ(ขำ)
ความน่าตื่นตาตื่นใจที่คนดูจะได้สัมผัสในความเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นเหนือจินตนาการซึ่งแตกต่างจากภาพยนตร์แอ็คชั่นทั่วไปที่เราได้ดูกัน
- นอกจากแอคชั่นที่ดุเดือด จะมีแอคชั่นที่สู้กันด้วยคาถาอาคม ซึ่งมันก็ให้อีกมิติหนึ่งในเรื่องนี้ ซึ่งผมว่ามันไม่ค่อยได้เห็น ผมว่าสำหรับคนไทยมันจะเป็นฉากที่พิเศษมาก เรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องของการไล่ล่าระหว่าง 2 ตัวละครที่จะมีวิชาอาคมมีความสามารถพอๆกันเลย ฆ่าไม่ตายทั้งคู่ สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือต่างคนก็ทำด้วยเหตุผลที่ตนเองรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าในโลกของ 2 คนมันอยู่ทั้งคู่ไม่ได้ สุดท้ายมันก็ต้องตายสักคนหนึ่ง มันต้องมีผู้แพ้ ซึ่งจุดนี้น่าสนใจมาก
เรื่องราวของขุนพันธ์
- เรื่องของขุนพันธ์จะเกี่ยวข้องกับนายตำรวจคนหนึ่งที่ตัวเขาเอง ได้ข่าวเรื่องของโจรที่โหดเหี้ยมในเมืองหนึ่ง ก็เลยเดินทางไปที่เมืองนั้น ผมว่ามันจะมี 2 มุมคือเขาจะมีมุมที่เขาอยากจะไปดึงความศรัทธานั้นกลับมาให้ได้ ศรัทธาในความถูกต้องในกฎหมาย แต่พอเขาเข้าไปที่เมืองนั้น ตอนนั้นตัวขุนพันธ์เองก็ยังไม่ได้เป็นขุนพันธ์หนวดเขี้ยวอย่างที่เห็นตอนนี้ เราก็จะเล่าเรื่องของนายตำรวจคนหนึ่งที่เขาไปแฝงตัวอยู่ในสังคมหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่ง เขาที่จะไปปราบโจรอัลฮาวียะลูนี่ละ เขาก็ไปปลอมตัวเป็นไอ้บุตร์ ในเรื่องนี้ผมจะมีหลายลุคมาก รู้สึกว่าจะมี 4-5 ลุคได้มั้ง จะมีนิกเนมสำหรับแต่ละลุค พอเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านเขาก็ได้เห็นว่าในหมู่บ้านนั้นก็ถูกกดขี่ด้วยคอรัปชั่น ด้วยโจร ด้วยตัวละครของอัลฮาวียะลู เขาได้เห็นว่าหมู่บ้านนั้นน่ะก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย ของนักการเมืองท้องถิ่นตรงนั้น ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้พบกับบุหงา(กบ พิมลรัตน์) คือตอนที่ยังเป็นบุตย์เขาก็ได้สนิทกับหลายคนในหมู่บ้าน รวมถึงมาลัย(อ้อม กานต์พิสชา) ซึ่งก็มีเกิดสปาร์ค วันหนึ่งพอเขามาเปิดตัวว่าจริงๆแล้วเขาคือตำรวจ มันก็เกิดเรื่องราวในหมู่บ้านนี้ ณ จุดนั้นคือเขายอมไม่ได้แล้ว เขารู้สึกว่าเขาต้องขึ้นมาเป็นกฎหมายของสังคมนี้ นั่นคือครั้งแรกที่เขาจะไว้หนวดเขี้ยวแล้วก็เป็นขุนพันธ์อย่างเต็มตัว ก็จะเข้าความเข้มข้นระหว่างขุนพันธ์กับอัลฮาวียะลูก็เป็นจากจุดนั้นเป็นต้นไป ก็คือเขาเป็นคู่ปรับกันเป็นเรื่องเป็นราว เขาก็จะสู้กันด้วยหลายวิธีจะมีทั้งดาบทั้งปืน ทั้งสู้กันด้วยจิต ด้วยอาคมอะไรอย่างนี้
ท้ายนี้ อนันดา อยากพูดอะไรถึงท่านขุนพันธ์
- ครับ ท่านก็เป็นคนที่ไม่ธรรมดานะ ก็อยู่มาได้ถึง 108 ปี เราขอสัก 70 เราก็แฮปปี้แล้ว แต่ที่สำคัญสุดก็คือต้องขอบคุณท่าน แล้วก็ขอบคุณทุกๆคนครอบครัวท่าน ทีมงานทุกคนที่ได้ให้โอกาสผมมาเล่นเป็นขุนพันธรักษ์ราชเดช เพราะว่า ก็นับว่าท่านเป็นคนสำคัญมากสำหรับประวัติศาสตร์ไทย ก็ขอบคุณครับ
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ