วิจารณ์หนัง Rogue One: A Star Wars Story ครึ่งแรกครึ่งหลังสนุกต่างกันราวหนังคนละม้วน
เนื่องด้วยตัวผู้เขียนเองมองว่าบ้านเรากับความผูกพันกับแฟรนชายส์หนัง STAR WARS นั้นไม่ได้เป็นกลุ่มก้อนใหญ่แบบในต่างประเทศ ระดับความคึกคักของผู้ชมเรียกได้ว่า ถ้าให้เทียบกับแฟรนชายส์มาร์เวลแล้ว ดูเหมือนอย่างหลังจะดู “หนุ่มกว่า” แฟรนชายส์ของมหากาพย์สงครามแห่งดวงดาวที่ดูเป็นแบรนด์เก่าแก่และ “มีอายุ” ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่งรีเฟรชตัวเองมาหมาดๆใน STAR WARS : THE FORCE AWAKEN ซึ่งสนุกขึ้น บันเทิงขึ้นและเรียกได้ว่า ยกระดับตัวเองให้หลุดพ้นจาก “ความน่าเบื่อ” แบบที่เคยเกิดขึ้นใน STAR WARS EPOSODE I-II-III
สำหรับ Rogue One: A Star Wars Story จัดเป็น “ภาคแยก” ตอนแรกของ STAR WARS ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับเหตุการณ์รอยต่อระหว่าง STAR WARS EPOSODE III และ IIII อันว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มกบฏที่ต้องเดินทางไปเพื่อไปขโมยแบบแปลนของ “ดาวมรณะ” ที่มีอานุภาพรุนแรงในระดับที่สามารถทำลายดาวเคราะห์ได้ทั้งดวง
จะว่าไปแล้ววิธีการปูตัวละครของหนัง Rogue One: A Star Wars Story จัดได้ว่าเป็นการนำเสนอแบบตัดปะ พอสมควร วิธีการเล่า นำเสนอตัวละครตัวอื่นๆนอกจากตัวเอกอย่างจิน เออร์โซ(เฟลิซิตี้ โจนส์) เรียกได้ว่าเป็น “งานหยาบ” และเล่าเรื่องไม่ค่อยให้น้ำหนักกับตัวละคร จนส่งผลทำให้คนดูไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับวีรกรรมกู้จักรวาลของพวกเขาสักเท่าไหร่นัก
ประกอบกับช่วงเวลาของหนังครึ่งแรก ที่เล่าเรื่องราวการเดินทางรวมพลพรรคกบฏนั้น ก็จัดได้ว่าค่อนข้างเนิบนาบ น่าเบื่อไปสักหน่อยจนทำเอาคนดูหาวไปหลายรอบ แถมบางช่วงก็เกือบวืดสัปหงกคาเบาะโรงหนัง ถ้าไม่ได้เสียงปืน เสียงระเบิดดาวมาช่วยไว้ อาจจะมีหวังไปเข้าเฝ้าลอร์ด ดาร์ธเวเดอร์ก็ได้
อย่างไรก็ดี เมื่อหนังเดินทางมาถึงช่วงครึ่งหลังในการที่ตัวละครต้องเดินทางไปยังดาวยาวิน เพื่อขโมยแปลนของดาวมรณะ ช่วงเวลานี้หนังก็จัดเต็มทั้งเรื่องความระทึกใจ ฉากเร้าใจ ฉากต่อสู้ แถมช่วงเวลานี้เหล่าบรรดาสาวกเดนตายของหนัง Star Wars ก็คงจะได้กรี๊ดกันสลบเพราะหนังก็เล่นใส่เซอร์ไพรส์เข้ามาเป็นระยะๆ
น่าเสียดายไปหน่อยตามที่ได้บอกไว้ว่าหนังนำเสนอช่วงครึ่งแรกของเรื่องไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ (น่าจะมาจากการกำกับของการ์เรธ เอ็ดเวิร์ด) ที่หลังจากที่ทีมผู้บริหารของดิสนีย์ได้ชมเวอร์ชั่นแรกแล้ว สั่งลงดาบให้ถ่ายหนังซ่อมใหม่และตัดต่อใหม่ทั้งหมด โดยน่าจะได้ผู้กำกับและมือเขียนบทอย่างโทนี่ กิลรอยด์ มาช่วยพาสเจอร์ไรซ์หนังใหม่และทำให้หนังดูสนุกขึ้นอย่างผิดหูผิดตามในช่วงครึ่งหลังของหนัง (เมื่อเทียบกับครึ่งแรกเรียกได้ว่าโทนหนังและวิธีการนำเสนอนั้นเป็นคนละเรื่องกันไปเลย)
@พริตตี้ปลาสลิด
3 คะแนนจาก 5 คะแนน
@พริตตี้ปลาสลิด
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ