9 เรื่องน่ารู้ก่อนบอกลา วูลฟ์เวอรีน ใน LOGAN
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2000 ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ในหนังเรื่อง X-Men ครั้งแรกที่ดัดแปลงมาจากคอมมิคจากค่ายมาร์เวล ผลงานการกำกับของไบรอัน ซิงเกอร์ เรื่องนี้เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และยิ่งไปกว่านั้นแล้วนี่คือการแจ้งเกิดของดาราหนุ่มชาวออสเตรเลียอย่าง ฮิวจ์ แจ็คแมน กับการรับบทวูลฟ์ เวอรีนอย่างงดงาม แต่ทุกเรื่องราวก็ต้องมีบทสรุป เมื่อ LOGAN จะเป็นหนังภาคสุดท้ายของ “ฮิวจ์” กับบทดังกล่าว เรามาดูกันสิว่า เราต้องรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับครั้งสุดท้ายของ LOGAN
1.จากวันนั้นถึงวันนี้กับ 17 ปีในบทวูลฟ์เวอรีน
ฮิวจ์ แจ็คแมน ถ่ายทอดพลังอันรุนแรงในบทมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีชื่อว่าวูลฟ์เวอรีนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2000 ใน X-Men ภาคแรกโดยผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์ นับแต่นั้นนักแสดงชาวออสเตรเลียรายนี้ก็ได้รับบทบาทเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกมากถึง 9 ครั้งบนจอภาพยนตร์ แต่ครั้งนี้ใน LOGAN แจ็คแมนได้รับโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานที่พิเศษอย่างแท้จริงก่อนจะยุติการรับบทบาทโลแกน ฮิวจ์กล่าวเช่นนั้นก่อนตกลงรับแสดงหนังภาคนี้
2.จากโทนหนังมนุษย์กลายพันธุ์สู่มนุษย์ธรรมดา
ตัวฮิวจ์ แจ็คแมนต้องการให้หนังภาคนี้มีความแปลกใหม่ มีความเป็นมนุษย์ เขาเลยให้นิยามว่า “ความเข้มแข็งของเอ็กซ์เมนและความเข้มแข็งของวูลฟ์เวอรีนเกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์มากกว่าพลังพิเศษ ในการสำรวจตัวละครตัวนี้เป็นครั้งสุดท้าย ผมอยากเข้าถึงแก่นแท้ของมนุษย์ในแบบที่เขาเป็นมากกว่าจะมาสนใจว่ากรงเล็บของเขาทำอะไรได้บ้าง”
3.มนุษย์กลายพันธุ์ในปี 2029
ในปี 2029 มนุษย์กลายพันธุ์ตกอยู่ในภาวะใกล้สาบสูญ โลแกนผู้โดดเดี่ยวกลายเป็นคนติดเหล้า ในที่หลบภัยอันห่างไกลแถบชายแดนเม็กซิโกและหารายได้เล็กๆ น้อยๆ จากการเป็นคนขับรถรับจ้าง เพื่อนผู้ลี้ภัยของเขาคือแคลิแบนผู้ถูกเนรเทศ รวมถึงศาสตราจารย์เอ็กซ์ซึ่งกำลังป่วยและพลังจิตถูกรบกวนจากอาการชักที่หนักขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วโลแกนกลับต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะหลบเลี่ยงโลกภายนอกและชีวิตที่ผ่านมา เมื่อหญิงลึกลับปรากฏตัวขึ้นพร้อมคำขอร้องเร่งด่วน เธอขอให้โลแกนช่วยพาเด็กสาวที่มีความพิเศษคนหนึ่งไปส่งยังที่ปลอดภัย ในไม่ช้าโลแกนก็ต้องใช้กรงเล็บเพื่อเผชิญกับพลังมืดและวายร้ายจากอดีตของเขาเองในภารกิจเสี่ยงตาย ภารกิจครั้งนี้จะนำนักสู้ผู้ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานสู่หนทางเพื่อบรรลุโชคชะตาของตนเอง
4.การฉีกโทนหนังภาคแยกทั้งสองภาค
เราอาจจะอยากลืม X-Men Origins: Wolverine ของปี 2009 ไปบ้างเพราะคุณภาพไม่ค่อยจะสู้นัก แต่สำหรับภาคแยกอย่าง The Wolverine ในปี 2013 นั้นดัดแปลงจากงานคอมิกชุดมินิซีรีส์ที่โด่งดังเมื่อปี 1980 โดยคริส แคลร์มอนต์และแฟรงค์ มิลเลอร์ โดยได้ซึมซับเอาจิตวิญญาณของหนังฟิล์มนัวร์และหนังซามูไรแบบญี่ปุ่น รวมถึงหนังคาวบอยแบบอเมริกัน ในเรื่องนั้นโลแกนถูกดึงตัวจากการเนรเทศตัวเองมาพบกับความรุนแรงและกลอุบายในญี่ปุ่น ซึ่งถ่ายทอดการต่อสู้ภายในจิตใจของโลกแกนได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งในหนัง Logan ภาคนี้หนังจะไปสำรวจความกลัวและความอ่อนแอของตัวละครมากยิ่งขึ้น
5.การกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งระหว่างนักแสดงและผู้กำกับ
เจมส์ แมนโกลด์ ผู้ร่วมเขียนบท-ผู้กำกับของ LOGAN เคยร่วมงานกับฮิวจ์แจ็คแมนมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2001 กับภาพยนตร์รักโรแมนติก ย้อนเวลากับ Kate & Leopold แมนโกลด์เขียนบท LOGAN ร่วมกับสก็อตต์ แฟรงค์ (A Walk Among the Tombstones, The Wolverine) ซึ่งเคยเขียนบทเรื่อง The Wolverine ร่วมกันมาแล้ว และไมเคิล กรีน (Alien: Covenant) เขาได้ตั้งต้นเขียนบทภาพยนตร์ที่เน้นตัวละคร โดยมุ่งความสนใจไปยังเรื่องราวของโลแกน เซเวียร์ และลอรา ขณะที่ทั้งสามออกเดินทางไปในพื้นที่อันแห้งแล้ง หนังเรื่องนี้จึงมีกลิ่นอายของหนังโร้ดมูวี่ กลายๆ
6.สภาวะจิตใจอันย่ำแย่ของโลแกน
แม้ว่าเรื่องราวใน LOGAN เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ใน X-Men: Days of Future Past (2014) มากกว่า 50 ปี แต่มันก็เป็นหนังที่มีเนื้อหาแยกออกเป็นอิสระและดูคล้ายเรื่องราวการเดินทางของครอบครัว วูลฟ์เวอรีนปราศจากความไร้เทียมทานอีกต่อไปเพื่อให้ตัวละครนี้เผยด้านที่อ่อนแอออกมามากยิ่งขึ้น ตอนเปิดเรื่อง โลแกนอยู่ในสภาพเปราะบางและบอบช้ำ ความเป็นอมตะกลับเป็นเหมือนคำสาปที่ฝังตรึงอยู่กับตัวเขา เขาดูแลชาร์ลส์ เซเวียร์ (แพทริก สจ๊วร์ต) ที่อ่อนแอลงในโรงหลอมร้างใกล้บ่อน้ำมันที่ถูกทิ้งร้างไว้ ทั้งสองอยู่ร่วมกับมนุษย์กลายพันธุ์อีกคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าแคลิแบน (สตีเฟน เมอร์แชนท์ ผู้ร่วมสร้างซีรีส์ The Office) โดยหลบซ่อนตัวอยู่ในยุคสมัยที่ผู้คนเชื่อกันว่ามนุษย์กลายพันธุ์ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว
7.ลอร่า เด็กสาวผู้เปลี่ยนแปลงชีวิตโลแกน
วันเวลาที่โลแกนควรจะได้พักผ่อน แต่เขาก็ต้องเลือกจะปกป้อง ดูแลเด็กหญิงคนหนึ่งอย่างไม่เต็มใจนัก ลอรา (แดฟเน คีน) มีพลังเหมือนเขาอย่างน่าทึ่ง เธอมีกรงเล็บอดาแมนเทียมแบบเดียวกับวูลฟ์เวอรีนออกมาจากมือและเท้า เขาไม่ได้กระตือรือร้นอยากแบกความรับผิดชอบครั้งใหม่นี้เท่าไรนัก เขาเหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะเล่นบทฮีโร่อีกครั้ง ขาผ่านช่วงนั้นในชีวิตมานานแล้ว ตอนที่เขาคอยรับฟังคำขอและคำอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ เอาเข้าจริงเขาได้ข้อสรุปว่าเมื่อเขาเข้าไปช่วย ทุกอย่างมีแต่จะเลวร้ายลง คนที่เขารักก็ต้องมาเจ็บตัว ถ้าเขาเข้าใกล้มากเกินไปหรือพยายามมากเกินไป สุดท้ายมันก็ต้องจบลงด้วยความเจ็บปวด การสูญเสีย และการทำลายล้าง อยู่เสมอ
8.ตัวร้ายคนใหม่!
ภารกิจในการปกป้องลอราจากอาชญากรไซเบอร์ผู้กระหายเลือด โดนัลด์ เพียร์ซ (บอยด์ ฮอลบรูค) โลแกนและศาสตราจารย์เอ็กซ์จึงออกเดินทางข้ามดินแดนทุรกันดารเพื่อนำลอราไปส่งยังสถานที่ซึ่งมีชื่อว่าอีเด็น กล่าวกันว่ามันเป็นที่พักพิงอันปลอดภัยสำหรับมนุษย์กลายพันธุ์รุ่นใหม่ แต่เพียร์ซและกองทัพไซบอร์กอันน่าเกรงขามอย่างพวกรีฟเวอร์ มุ่งมั่นที่จะนำเด็กผู้หญิงคนนี้กลับไปอยู่ในความดูแลของ ดร. แซนเดอร์ ไรซ์ (ริชาร์ด อี แกรนต์) นักพันธุศาสตร์ผู้ชั่วร้ายที่อยู่เบื้องหลังโครงการอัลคาไลและปลุกภาวะกลายพันธุ์ของเธอด้วยการทดลองอันโหดร้ายนานาประการ ด้วยหวังที่จะสร้างเด็กที่เป็นสุดยอดทหารขึ้นมา
9.นี่ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน!
จงลืมโทนหนังมนุษย์กลายพันธุ์ภาคก่อนๆไป เพราะหนังภาคนี้ได้รับเรท R นั่นหมายความว่าหนังภาคนี้จะเต็มไปด้วยความรุนแรงและเต็มไปด้วยแนวคิดแบบผู้ใหญ่ แมนโกลด์กล่าว “ผมอยากทำหนังสำหรับผู้ใหญ่ นี่ไม่ใช่หนังสำหรับเด็กอายุเก้าขวบ เมื่อหนังของคุณได้รับเรตอาร์ คุณจะสามารถทำหนังที่พูดถึงแนวคิดสำหรับผู้ใหญ่ คุณจะไม่ถูกกดดันให้ต้องทำหนังสำหรับทุกคน”
@PRETTYPLASLID