มอง 5 มุมกับ The Face Thailand 3 EP8: เซอร์ไพรส์ที่ไม่น่ายินดี

มอง 5 มุมกับ The Face Thailand 3 EP8: เซอร์ไพรส์ที่ไม่น่ายินดี

มอง 5 มุมกับ The Face Thailand 3 EP8: เซอร์ไพรส์ที่ไม่น่ายินดี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook



หลังจากที่รายการ The Face Thailand Season 3 เดินทางมาเกิน “ครึ่งทาง” ความน่าสนใจของซีซั่นนี้คือกนอกจากจะได้เมนทอร์อย่างมาช่า มาทำหน้าที่แล้ว วิธีการเล่นเกมของแต่ละทีมก็น่าสนใจไม่แพ้กัน แต่สำหรับ EP.8 นี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าเก็บมาตกผลึกกันถึงต่อ 5 มุมประกอบไปด้วยอะไรบ้าง



มุมที่ 1 การสิ้นสุดหน้าที่เป็นเมนทอร์ของ “มาช่า วัฒนพาณิช”

ไม่ว่าจะเป็นความพยายามเซอร์ไพรส์ของรายการ หรือ เพราะคิวงานถ่ายทำของตัว มาช่า วัฒนพาณิช จะไม่ตรงกับคิวถ่ายของรายการก็ตาม แต่สิ่งที่ชวนให้คิดก็คือช่วงเวลาที่รายการ The Face Thailand Season 3 กำลังถ่ายทำอยู่นั้น เกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝันที่ช็อคคนไทยทั้งประเทศจนเป็นเหตุผลประการสำคัญที่อาจจะทำให้รายการจำเป็นต้อง “พักกอง”หรือ “หยุดถ่ายทำ” ชั่วคราว และเราทราบกันดีว่าช่วงเวลาดังกล่าวร่วม 3 เดือนนั้น ผู้คนในประเทศนอกจากจะปราศจากกำลังใจในการทำงานแล้ว ทุกอย่างในวงการบันเทิงก็ดูชะงักงันไปเกือบทุกอย่าง

คำพูดแรกที่ ขุน ชานนท์ อักขระชาตะ กล่าวว่ามีเรื่องที่จะแจ้งลูกทีม และเรียกเมนทอร์อีกสองคนมารับรู้เหตุการณ์สำคัญว่า เมนทอร์มาช่าได้สิ้นสุดการทำหน้าที่เป็นเมนทอร์ในซีซั่นนี้แล้ว

ท่ามกลางความงุนงงของทั้งเมนทอร์ และดูเหมือนคนที่น่าจะตกใจมากที่สุดน่าจะเป็นเกรซและจูลี่ ลูกทีมเพียงสองคนที่เหลืออยู่ในทีมมาช่า ก่อนที่จะช็อกลูกทีมด้วยการเปิดตัวเมนทอร์ที่มารับช่วงต่ออย่างเมนทอร์คริส หอวัง ผู้กลับมาจากซีซั่นที่ 2

อย่างไรก็ตามคงต้องรอทางเมนทอร์มาช่าออกมาเคลียร์ตัวเองว่าเหตุผลใดที่เธอจึงไม่สามารถทำหน้าที่ดังกล่าวต่อได้

มุมที่ 2 การรับช่วงต่อของคริส หอวัง

พวกคุณจดจำซีนที่เมนทอร์ทั้งสองแสดงอาการตื่นเต้นดีใจ เมื่อได้เห็นหน้าคริส หอวัง นั่นเหมือนกับว่าเมนเทอร์ทั้งสามที่ได้เคยร่วมงานมาแล้วในซีซั่นที่สองจะดูรู้ใจและรู้เชิงกันเป็นพิเศษ และถ้าลองสังเกตมองย้อนกลับไปในสัปดาห์ก่อนๆจะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาที่แต่ละทีมทำแคมเปญกัน ทีมมาช่าจะดูนิ่งเงียบ ปราศจากการสนทนากับเมนทอร์อีกสองคนจนเราอาจจะกล่าวได้ว่าบรรยากาศมันช่าง “มาคุ” เสียเหลือเกิน

ทว่าการมาถึงของคริส หอวัง กับการที่มีลูกทีมแค่ 2 คน นั่นคือเกรซกับจูลี่ นั้นทำให้วิธีการดูแลลูกทีมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จูลี่อาจจะเล่าว่าเธอไม่เคยถูกเมนเทอร์มาช่า “ดุ” เลยสักครั้ง พี่ช่าเหมือนเป็นแม่อีกคนของเธอ แต่เมื่อคริสมาถึงครั้งแรก เธอกลับสวดจูลี่เสียยับ เรื่องความไม่มั่นใจและเหมือนคริสจะมองเห็นในสิ่งที่เป็นจุดด้อยสำคัญที่คาราคาซังทีมของเมนเทอร์มาช่ามาอย่างเนิ่นนานในครั้งเดียว

บางครั้งการใช้ไม้แข็งในการอบรมสั่งสอนเด็ก ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ทำให้พวกเขาฉุกคิดได้ว่าบางครั้ง การเจอคนที่ดุกว่าก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ชีวิตก็ต้องรับมือให้ได้และนำความกดดัน คำติติงมาพัฒนาตัวเอง

มุมที่ 3: เจ็บกันมาแค่ไหนกับ “บรีฟ” ไม่รู้เรื่อง

“น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไฮแฟชั่น” …….. คุณเคธี่

ในภาษาไทยประโยคนี้สามารถเอาคำว่า "ปฏิพากย์" (ปฏิพากย์ คือการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงข้ามกัน) มาอธิบายรูปประโยคได้ชัดเจนที่สุด เมื่อทุกอย่างขัดแย้งกันหมด ฟังแล้ว ต้องย้อนคลิปไปฟังซ้ำอีกสักครั้งว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นการมัวแต่มานั่งงมโข่งว่าคอนเซ็ปมึนๆคืออะไรกันแน่ สไตล์การแต่งตัวของคุณเคธี่ก็ชวนงงไม่แพ้กัน กับการเอาหอยนางรมมาทำต่างหู ชุดที่เหมือนไปซื้อผ้าขาวจากพาหุรัดแล้วรีบเอามาพันตัว กระทั่งคิ้วที่เหมือนการผ่านการฝนดินสอ EE ในวิชาศิลปะนั่นอีก การตีโจทย์ให้แตกว่า “ผิวสวยแบบสเนลไวท์” เป็นอย่างไรน่าจะสำคัญกว่า

ดังนั้นโจทย์ที่ดูเหมือนจะยาก แต่ท้ายที่สุดแล้วคนที่ตีโจทย์ แตกและสามารถบรีฟลูกทีมให้เข้าใจในสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ ดูเหมือนทีมลูกเกดจะทำได้ดีที่สุดในระยะเวลาการทำโชว์ที่ใช้ระยะเวลาพอดิบพอดี รวมไปถึงพรีเซนท์ผิวสวยออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุด ตรงคอนเซ็ปต์สินค้า

 


มุมที่ 4 พังคนเดียว พังยกทีม
ถ้าเทียบการทำแคมเปญเดินแบบเมื่อวาน ซึ่งจัดได้ว่าน่าจะเป็นการเดินแบบที่น่าเบื่อที่สุดตั้งแต่ที่รายการนี้เคยทำมา ด้วยความที่ตัวผู้เข้าแข่งขันเองดูแทบจะไม่มีอินเนอร์ แคทวอล์คที่ออกแบบมาให้ประหลาดยากต่อการทำงาน สุ่มเสี่ยงทำให้เกิดอันตราย แต่เพื่อความสนุกของรายการทุกอย่างก็ต้องดำเนินไป (แต่ดูแล้วสนุกไหม ขอยืมท่าของเทียมาใช้ก็แล้วกัน)



จูลี่ กับจุดด้อยที่ควรได้รับการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน แม้ว่าเมนทอร์อีกสองคนจะติติงเรื่องนี้มานานพอดู แต่เมื่อการเข้ามาของคริสทำให้ปัญหานี้ได้รับการคลี่คลายเสียที เห็นได้ชัดเลยว่าเมื่อจูลี่ถูก “จี้” เธอแสดงออกทำให้เราเห็นถึงความกดดันที่เธอต้องเผชิญ แต่ความกดดันดังกล่าว ดูไม่เป็นผลดีสักเท่าไหร่เมื่อถึงเวลาเดินจริงทุกอย่างจึงกลับกลายเป็นความเกร็งไปทั้งหมดจนทำให้โชว์ดูไม่ลื่นไหลสักนิดเดียว


ข้าว ก็เป็นอีกหนึ่งคนของทีมบีที่ทำพลาด แต่เมื่อเทียบแล้วยังน้อยกว่าความเกร็งของจูลี่ การที่เธอไม่ยอมฟังจังหวะเพลง ก็เป็นจุดด้อยสำคัญที่ทำให้ภาพรวมของทีมบี ออกมาแย่ในทันที ประกอบกับการที่ลูกทีมคนเยอะไปหมดและปัญหาสำคัญของทีมบีในปีนี้ก็คือลูกทีมไม่ค่อยมีพลังสักเท่าไหร่ ประกอบกับการที่พวกลูกทีมเองดูไม่ค่อยมีสติสักเท่าไหร่แบบที่เมนทอร์ทุกคนคอมเมนต์ว่า “เด็กปีนี้อ่อนที่สุดใน 3 ปีที่ผ่านมา” ดูจะเป็นเรื่องจริงที่คนดูก็ไม่อาจจะปฏิเสธ

มุมที่ 5 เกมเปลี่ยน วิธีเล่นก็เปลี่ยน

หลังจาก EP7 เมนเทอร์มาช่าเลือกคัด มินต์ ในทีมของเมนเทอร์ลูกเกดออกไป เกมที่กำลังจะดุเดือด กลับถูกเปลี่ยนขั้วเมื่อ คริสเดินเข้าเกมมาแทน วิธีการส่งลูกทีมเข้าห้องดำไปให้ทีมลูกเกดคัดออกในห้องดำในสัปดาห์นี้ คริสจึงเลือกจุดด้อยที่แท้จริงเข้าไป (ยังนึกภาพไม่ออกอีกเหมือนกันว่าถ้าพี่ช่ายังอยู่คนเข้าห้องดำอาจจะเป็นเกรซจริงๆ) นั่นคือจูลี่ ในขณะที่ทีมบีเลือกเอาข้าวเข้าห้องดำ เพราะความบกพร่องที่เกิดขึ้นนั่นเอง

“หนูไม่เอาตัวเองไปเทียบกับใครค่ะ”

ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือวิธีการไฟต์ในห้องดำนั้น จูลี่ถึงจะรู้ตัวเองว่าเธอด้อย แต่วิธีการพูดโน้มน้าวใจของจูลี่กลับดูจริงใจ เป็นตัวเอง และเธอก็ทราบดีว่าเหตุผลที่เธอเข้ามาอยู่ในห้องนี้เพราะว่าเธอมีจุดบกพร่องตรงไหน ผิดกับข้าวที่เธอเลือกจะกล่าวเทียบกับจูลี่ว่า เธอเก่งกว่าจูลี่แค่ไหน แต่การเปรียบเทียบแบบนั้นนอกจากจะเป็นวิธีการสร้างศัตรูแล้ว มันยังไม่ได้ช่วยให้คนอื่นรู้สึกเห็นคล้อยตามกับความคิดของตนด้วยซ้ำ (แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม) แต่ท้ายที่สุดแล้ววิธีการคัดออกของพี่เกดในครั้งนี้ก็ยังกลับมาเป็นการ “เล่นเกม” อีกครั้ง ที่ทิศทางของเกมก็เปลี่ยนไปอีกแนวหนึ่ง
ทันใดนั้นเมื่อลูกเกดออกมาจากห้องดำ ความโช้งเช้ง โหวกเหวก โวยวายแบบที่เราคุ้นเคยก็กลับมาอีกครั้ง …….

จะเกิดอะไรขึ้นในสัปดาห์ต่อไปเมื่อรายการนี้ มีกติกาที่สามารถให้ลูกทีมกลับเข้ามาในทีมได้อีกครา …….


@PRETTYPLASLID

 

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ มอง 5 มุมกับ The Face Thailand 3 EP8: เซอร์ไพรส์ที่ไม่น่ายินดี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook