มอง 5 มุมกับ The Face Thailand 3 EP10 : เป่า ยิ้ง ฉุบ
หลังจากที่ EP9 ทีมคริสสามารถคว้าชัยชนะได้เป็นครั้งแรก และคนที่ต้องเดินออกจากรายการไปคือ “บลอสซั่ม” ทำให้เกมการแข่งขันเริ่มทวีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นเมื่อทีมบี เริ่มเหลือคนในทีมแค่ 3 คนเท่านั้น แถมเมนทอร์แต่ละคนต่างก็มีวิธีเล่นเกมเป็นของตัวเอง
มุมที่ 1 : การเต้นคือการสะท้อนอินเนอร์ข้างใน
การเต้นคือการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างหนึ่งให้เข้ากับจังหวะเพลง ซึ่งการเต้นนั้นถือเป็นการจัดระเบียบร่างกายอย่างหนึ่ง ที่ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพ สร้างความน่าสนใจให้กับตัวเอง ใน EP นี้นอกจากจะได้เมนทอร์คริสมาดูแลช่วง Master Class แล้ว ยังได้คุณปันปัน นาคประเสริฐ นักเต้น wracking มาให้ความรู้เรื่องการโพสต์ท่าให้ตรงกับจังหวะ ซึ่งสิ่งที่เราได้มองเห็นจากผู้เข้าแข่งขันคือการเต้นนั้นเป็นการละลายพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้แต่ละคนได้เห็นอินเนอร์ของเพื่อนๆ ได้เห็นความสามารถด้านการเคลื่อนไหว
ที่น่าขำขันกว่าคือการที่ช่วง Master Class อันถือเป็นช่วงที่สินค้าสปอนเซอร์เข้ามาไทน์อินในรายการ ความตลกคือใครจะไปเชื่อว่าน้ำมะพร้าว COCO MAX จะมาเชื่อมโยงกับการเต้นได้ยังไง แต่สุดท้ายมันก็ถูกบรีฟออกมาให้เราเห็นว่ากินน้ำมะพร้าวแล้วจะสดชื่น ดีดได้แค่ไหน (ซึ่งไม่แน่ใจว่ามันเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ หรือยิ่งทำร้ายแบรนด์ก็ไม่รู้) การเต้นของจูลี่ ผู้ชนะของวันนี้ก็ทำให้คนดูเห็นว่านอกจากเครื่องดื่มจะช่วยดับกระหายแล้ว ยังช่วยให้ผู้ดื่มสามารถคอนแทรค(การเต้นแบบกระแทกส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแรงๆ) จนเราแอบสงสัยว่านี่มันน้ำมะพร้าวหรือเครื่องดื่มชูกำลังกันแน่ แต่เอาเข้าจริงแล้วส่วนตัวผู้เขียนกลับมองว่าคนที่ทำได้ดีกว่าคือ “เกรซ” ที่ดูเอนจอยกับเพลง ท่าเต้นหลากหลายและสนุกกับเพลงมากกว่า แถมเธอยังเซ็กซี่มากด้วย
มุมที่ 2 : สกายกับจูลี่ควรไปเล่นตลก
บางทีเราอาจจะนึกสงสัยว่านี่มันรายการ The Face หรือรายการขายของแบบ O Shopping และTV Direct กันแน่ เพราะเรียกได้แค่ว่าการดูรายการแค่เบรกเดียว สินค้าสปอนเซอร์ก็แน่นไปหมด แถมต้องมีช่วงให้ผู้เข้าแข่งขันต้องมาใช้สินค้าแบบดูแล้วก็งงว่า เอ๊ะเดี๋ยวนะ นี้รายการนี้เค้าไม่มีทีมงานฝ่ายคอสตูมเอาเสื้อผ้าไปซักกันก่อนส่งคืนกองถ่ายหรืออย่างไร ถึงต้องให้ผู้เข้าแข่งขันอย่างสกายกับจูลี่เดินหอบเสื้อผ้าเอามายัดเครื่องด้วยตัวเอง แต่ก็นั่นแหละจะขายของทั้งทีก็เลยต้องให้ผู้เข้าแข่งขันมาทำแอ๊บเป็นซักเสื้อผ้า..... แต่เอาเถอะนะ สตอรี่ปลอมๆของช่วงนี้ใน EP10 ก็ยังถือว่าน่ารักกว่าตอนอื่นๆเพราะ มีการแซวกันเรื่องการแข่งขันระหว่างสกายกับจูลี่ดู “เป็นกันเอง” เล่นแอ็คติ้งตบหน้ากันจนนึกว่า จูลี่ นั้นมีพี่ทราย คุณแม่ขอร้องเป็นไอดอล!
มุมที่ 3 : ผ้าอนามัยกับการเดินแบบในลูกบอล
บางทีก็แอบรู้สึกว่าวิธีการคิดแคมเปญในการแข่งขันของรายการนี้ดูพิสดารหนักข้อขึ้นไปทุกที ยิ่งไปกว่านั้นรายการก็เหมือนพยายามสร้างข้อแม้ให้ผู้เข้าแข่งขันมีโอกาสที่จะซักซ้อมน้อยที่สุด ทำโชว์ออกมาให้ผิดพลาดมากที่สุด เพื่อที่ทำให้ผลงานสุดท้ายออกมาเกิดข้อบกพร่องและกรรมการจะได้มีประเด็นหยิบเอามาด่า จิกกัด หรือเพื่อให้รายการเอามาสร้างดราม่าได้มากขึ้น
แคมเปญสำหรับ EP 10 เป็นการเดินแบบในลูกบอล แถมแคทวอล์คในการเดินก็เล็กแคบและอยู่กลางสระว่ายน้ำ สร้างความลำบากขั้นสุดในการทำงาน ปัญหาคือวันนี้นางแบบทุกคนไม่มีใครถ่ายทอดอารมณ์ออกมาระหว่างรันเวย์ได้ลื่นไหลสักคน เนื่องจากผู้เข้าแข่งขันไม่มีโอกาสจะได้ซ้อมเดิน ดังนั้นไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมคอมเมนต์จากกรรมการถึงออกแนว “แง่ลบ” เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากในการทำงานจริงๆคงไม่มีใครทำโชว์แล้วไม่ปล่อยให้ผู้แสดงซักซ้อมหรอกครับ . . . . . มันคือการฆ่าตัวตายดีๆนี่เอง
มุมที่ 4 : เป็นหัวหน้าต้องทำได้ทุกอย่าง
สิ่งที่น่าชื่นชมในสัปดาห์นี้คือการที่เมนทอร์ทุกคนสาธิตวิธีการเข้าไปเดินลูกบอล ว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด การเดินที่ดีเป็นอย่างไร การควบคุมลูกบอลนั้นต้องทำแบบไหนเพื่อให้ทรงตัวได้ ซึ่งเมนทอร์แต่ละคนก็ได้ถ่ายทอดเทคนิคออกมาได้เป็นอย่างดี แต่เหมือนเมนทอร์บีจะพยายามเน้นย้ำเรื่องการแสดงท่าทางเลียนแบบพรีเซนเตอร์อย่าง ญาญ่า จากสปอตโฆษณาโทรทัศน์ด้วยวิธีการลูบกางเกง ราวกับว่าสวมใส่ผ้าอนามัยแล้วไม่ซึมเปื้อน มั่นใจ สบายตลอดวัน ส่วนทีมคริสมีความพยายามทดลองว่าถ้าหากเดินตกน้ำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ท้ายที่สุดแม้ว่าระหว่างทำแคมเปญ ผู้เข้าแข่งขันอาจจะดูค่อนข้างเครียด เกร็ง เพราะแต่ละคนกลัวตกจากรันเวย์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะพวกเขาไม่ได้มีโอกาสซ้อมเดิน ดังนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากทำโชว์ของแต่ละทีม เมื่อผลการตัดสินออกมาว่าทีมบีเป็นผู้ชนะ เพราะสามารถทำแคมเปญได้ตอบโจทย์กับแบรนด์สินค้า มีการพรีเซนต์ถึงบุคลิกสินค้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ
มุมที่ 5 : เป่า ยิ้ง ฉุบ!!!!!!
ช่วงเวลาที่คนดูรอคอยมากที่สุดในทุกสัปดาห์ คือช่วงเวลาที่เมนทอร์ผู้ชนะจะคัดใครสักคนออกจากรายการ ซึ่งวันนี้คนที่ต้องเข้าห้องดำคือมินต์ (จากทีมลูกเกด) และฮาน่า (จากทีมคริส) ซึ่งเป็นสองคนที่เคยตกรอบออกจากรายการไปแล้ว ดังนั้นเมนทอร์บีจึงมองว่ารายการนี้ไม่ใช่แค่จะต้องอาศัยความสามารถอย่างเดียว แต่ดวงเหมือนเป็นปัจจัยอีกประการที่สามารถนำมาชี้ชะตาพวกเธอได้ เมนทอร์บีจึงสั่งว่า “พี่จะไม่เลือกใครออก แต่จะให้น้องๆเป่า ยิ้ง ฉุบ กันเองใครแพ้ก็ออก”
สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือการที่ฮาน่าเลือกจะแสดงเจตจำนงว่าวิธีการตัดสินแบบนี้มันดูวัดดวงเกินไปและเธออยากให้พี่บี ใช้เหตุผล ในการเลือกใครสักคนออก เธอสามารถยอมรับเหตุผลได้มากกว่าการเป่ายิ้งฉุบ ทว่าบีเองก็พยายามยืนยันว่าเธอไม่อยากจะตัดสินใครออกอีก ซึ่งถ้ามองอีกมุมแล้วสิ่งที่บีกำลังทำอยู่นั้นคือการ “ปัดความรับผิดชอบ” ในการเป็นเมนทอร์หรือเปล่า ซึ่งการที่เธอสั่งให้ผู้เข้าแข่งขันวัดดวงกันเอาเองนั้น ถ้ามินต์ไม่เลือกตามเกมของบี ท้ายที่สุดแล้วบีก็ต้องตัดสินด้วยการคัดคนออกอยู่ดี เพราะมันคือ กติกาของรายการ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สะท้อนความไร้ประสิทธิภาพและความไร้สาระของการตัดสินด้วยวิธีการเป่ายิ้งฉุบ คือการที่เมนทอร์อย่างคริสและลูกเกดจะหยิบเอาวิธีการดังกล่าวเอามาล้อเล่นกันและเมื่อพี่ลูกเกดแพ้ นางก็โดนเมนทอร์คริสชี้หน้าว่า “พี่ไม่ใช่ เดอะเฟสค่ะ” แถมคริสยังจิกกัดก่อนปิดรายการว่า “ไม่ต้องจัดหรอกค่ะ ไฟนอลวอล์ค ใช้การโอน้อยออกเอา” ยิ่งทำให้ผู้ชมเห็นว่าการตัดสินแบบนี้มันดูแย่แค่ไหน
ปีนี้พี่บีได้ซีนแล้วค่ะ แต่ซีนพี่แย่มาก . . . . . . ยืมคำพูดของบีปีก่อนเอามาใช้ก็แล้วกัน . . . . .
@PRETTYPLASALID
อัลบั้มภาพ 6 ภาพ