วิจารณ์หนัง King Arthur: Legend of the Sword – เมื่อตำนานพยายามคูล
ผู้กำกับอย่างกาย ริชชี่ เป็นคนทำหนังที่จัดได้ว่ามีสไตล์การทำหนังที่ค่อนข้างฉูดฉาด ยิ่งในยุคหลังช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลงานของเขาไม่ว่าจะเป็นหนังนักสืบจากวรรณกรรมระดับโลกอย่าง Sherlock Holmes ที่ทำให้นักแสดงอย่างโรเบิร์ต ดาว์นนี่ จูเนียร์กลับมาดังเปรี้ยงอีกครั้ง The Man from U.N.C.L.E. หนังสายลับที่มีฉากหลังเป็นยุคสงครามเย็น สไตล์การแต่งตัวและวิธีการเล่าเรื่องของหนังเรียกได้ว่าโฉบเฉี่ยวเปรี้ยวจี้ด และล่าสุดกับการหยิบเอาตำนานอมตะอย่างคิง อาเธอร์มาเล่าใหม่ใน King Arthur: Legend of the Sword
ในหนังเวอร์ชั่นนี้ไม่ได้เล่าถึงช่วงเวลาที่คิง อาเธอร์กลายเป็นกษัตริย์อย่างเต็มตัว แต่ตัวหนังเลือกจะเล่าช่วงเวลาที่เขาเติบโต เป็นหนุ่มใหญ่และผลลัพธ์จากการที่เขาสามารถกลายเป็นผู้ที่สามารถดึงดาบวิเศษออกมาจากก้อนหินได้
แม้ว่าจะเล่าเรื่องราวแบบเดิม แต่ด้วยวิธีการปรุงแต่งบทครั้งใหม่ รวมไปถึงการเนรมิตยุคสมัยที่เป็นฉากหลังในมีกลิ่นอายของโลกเวทมนตร์และวิถีชีวิตแบบคนยุคกลาง การปกครองแบบกษัตริย์ที่มีอำนาจแบบล้นพ้น วิถีของอัศวิน ให้กลายเป็นหนังแอ็คชั่นทันสมัย มีสไตล์การตัดต่อรวดเร็วฉับไว บทสนทนาของตัวละครที่พูดกันน้ำไหลไฟดับไม่เว้นวรรคให้คนดูหยุดหายใจ
หนังใช้วิธีการเล่าช่วงเวลาในวัยเด็กหลังจากที่อาเธอร์ต้องลี้ภัยทางการเมืองหลังจากที่พ่อของเขาถูกสังหารโดยบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากาก เหตุการณ์ดังกล่าวยังคงตามมาหลอกหลอนเขาในความฝัน อาเธอร์ถูกเลี้ยงดูมาโดยเหล่าโสเภณีที่เก็บเขาไปอยู่ในความดูแล ด้วยสภาพที่ยากลำบากทำให้อาเธอร์ต้องปากกัดตีนถีบและสู้ชีวิต เขาต้องเรียนรู้วิธีการหาเงินด้วยการลักเล็กขโมยน้อย เรียนรู้วิธีการต่อสู้จากสำนักฝึกวิทยายุทธ จนเขาเติบใหญ่ขึ้นมา แต่แทนที่จะได้ใช้ชีวิตแบบสามัญชน อดีตของเขาก็เรียกเขากลับไป เมื่อน้ำที่ริมปราสาทลดลงปรากฏดาบวิเศษที่ถูกปักไว้ในหิน ทว่าไม่มีบุรุษผู้ใดสามารถดึงดาบขึ้นมาได้ ยกเว้นเสียแต่เจ้าของที่แท้จริง เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้วอร์ติแกน (จู๊ด ลอว์) เกรงกลัวว่าผู้ที่สามารถดึงดาบขึ้นมาได้คืออาเธอร์ (ชาร์ลี ฮันแนม) ผู้ที่จะมาโค่นบัลลังก์ของตน
ภายหลังจากที่อาเธอร์ดึงดาบขึ้นมาได้ เขาถูกวอร์ติแกนจับตัวเขาไปเพื่อประหารชีวิต แต่อาเธอร์ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มคนลึกลับ เพราะพวกเขามีความเชื่อว่าอาเธอร์จะสามารถโค่นบัลลังก์ทรราชลงและนำความสงบสุขกลับคืนสู่อาณาจักร โดนเรื่องราวต่อจากช่วงนี้อาเธอร์ต้องพยายามเรียนรู้วิธีการใช้ดาบวิเศษ การค้นหาตัวตนของเขาเอง และท้ายที่สุดคือการเติบโตไปเป็นผู้นำที่ต้องรับผิดชอบต่อคนหมู่มากนั่นเอง
แอบน่าเสียดายอยู่ไม่น้อยที่รู้สึกว่าหลายครั้งด้วยสไตล์ของ King Arthur: Legend of the Sword ที่พยายามตลก พยายามคูล หรือพยายามซีเรียสในเรื่องราว ความพยายามเหล่านี้กลับไม่สามารถหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้ ทำให้หนังไม่สามารถส่งต่ออารมณ์ในแต่ละช่วงได้อย่างลื่นไหลนัก หรือพูดง่ายๆว่าหนังทำให้คนดูเกิดอาการ “สะดุด” อย่างมากในการเปลี่ยนฉากแต่ละครั้ง ซึ่งถ้าเราลองย้อนกลับไปดูการกำกับ Sherlock Holmes ภาคแรก น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของกาย ริชชี่ ว่าการทำหนังซีเรียสแต่แทรกมุขตลกและสามารถทำตัวให้ “ฮิป” ไม่แก่ แต่ลงตัวนั้นเป็นอย่างไร
น่าเสียดายที่ King Arthur: Legend of the Sword ไปไม่ถึงจุดนั้น และเมื่อพิจารณารายได้ของหนังแล้ว บอกได้เลยว่าโครงการภาคต่อของแฟรนชายส์นี้ก็ดับวูบลงอย่างไม่เห็นอนาคต
3 คะแนนจาก 5 คะแนน
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ