20 อันดับ ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของ DC
DC ได้มีผลงานล่าสุดคือ Wonder Woman ฉายในโรงภาพยนตร์แล้ววันนี้ ซึ่งได้กระแสตอบรับในต่างประเทศค่อนข้างดี เราลองมาย้อนดู 20 อันดับภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่าดีที่สุดของ DC (รวมถึงดัดแปลงจากค่ายย่อยของ DC ด้วย)
20. BATMAN V SUPERMAN: DAWN OF JUSTICE
ในช่วง 10 นาทีแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้อย่างยอดเยี่ยม สัมผัสได้ถึงจุดยืนที่ต่างกันของแบทแมนและซูเปอร์แมน แต่ช่วงเวลาต่อมานั้นมันกลับเต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยที่ยัดเข้ามาเพื่อปูทางให้กับ Justice League ซึ่งมันมากจนทำให้การเดินเรื่องหลงทิศทาง และต้องสะดุดอยู่บ่อยครั้ง
แต่เมื่อมาถึงจุดไคลแม็กซ์ก็มีฉากแอ็คชั่นแบบดิบๆ ที่แบทแมนบุกไปยังโกดังเมื่อช่วยมาธ่า แม่ของซูเปอร์แมน มาช่วยดึงอารมณ์คนดูกลับมาอีกครั้ง และการปรากฏตัวครั้งแรกของวันเดอร์ วูแมน ก็น่าจดจำมากจริงๆ
19. SUPERMAN RETURNS
หลังจากสร้าง X-Men จนโด่งดัง ไบรอัน ซิงเกอร์ ก็ได้มีโอกาสสร้างโปรเจ็คซูเปอร์แมนในฝันได้เสียที แต่ก็ใช่ว่ามันจะถูกใจผู้ชมในยุคสมัยใหม่นี้มากนัก การเดินเรื่องนั้นค่อนข้างเนิบช้า แต่ก็ยังมีฉากอลังการที่ทำได้ถึงอารมณ์อยู่หลายฉาก รวมถึงดนตรีดั้งเดิมของ จอห์น วิลเลียมส์ ที่ใส่เข้ามาได้อย่างเหมาะเจาะ ถูกเวลา
และที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือการข้ามเรื่องราวที่เป็นต้นกำเนิดของซูเปอร์แมนไปอย่างรวดเร็วและกระชับจนไม่ทำให้แบ็คกราวน์ของตัวละครต้องเสียไป
18. CONSTANTINE
ดัดแปลงมาจากคอมมิคสุดดาร์คเรื่อง Hellblazer ของ อลัน มัวร์ นำแสดงโดย คีอานู รีฟส์ ซึ่งสามารถบอกถึงโทนหนังและการแสดงแข็งๆที่เท่ห์จนเป็นเอกลักษณ์ของ คีอานู รีฟส์ ได้ดี
ผู้กำกับ ฟราสซิส ลอว์เรนซ์ ได้เล่นกับงานด้านภาพที่สื่อถึงความนัยอยู่บ่อยครั้งซึ่งมันดูคัลท์และเทห์ไปอีกแบบ รวมถึงการเดินเรื่องสไตล์ฟิล์มนัวร์ที่เหมาะสมกับตัวละคร คอนสแตนติน เสียจริงๆ แต่บทภาพยนตร์ในแบบฮอลลีวู้ดก็ทำให้สูญเสียประเด็นหลักของคอมมิคไปอย่างน่าเสียดาย
17. RED
ดัดแปลงมาจากผลงานของค่าย Homage Comics ที่ DC เป็นเจ้าของ ที่มาได้เหมาะสมกับเวลาและวัยของนักแสดง ทั้ง บรูซ วิลลิส, มอร์แกน ฟรีแมน, จอห์น มัลโควิช และจัดว่าเด็ดจริงก็คือเฮเลน มิเรน ที่โผล่ออกมาได้สะใจจริงๆ
แต่ด้วยบทภาพยนตร์ที่ไม่หนักแน่น ขาดความน่าเชื่อถือ และเล่นกับอารมณ์คอมเมดี้มากไปสักหน่อย ก็ทำให้ความเข้มข้นของ RED ต้องดรอปลงมาในระดับหนึ่ง
16. BATMAN: THE MOVIE
เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่มีอารมณ์สนุกสนานมากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปและแนวทางการสร้างภาพยนตร์ที่จริงจังและมีความมืดหม่นมากขึ้น ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกมองข้ามไป ทั้งๆที่มันเต็มไปด้วยอารมณ์ขันที่น่าชื่นชม และแก่นเรื่องที่บ่งบอกถึงความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ชัดเจน
15. THE DARK KNIGHT RISES
แบทแมน ฉบับของ คริสโตเฟอร์ โนแลนด์ ทำให้มันดูจริงจัง แต่ดูไม่มืดหม่นจนเกินไป มีเหตุรองรับการกระทำ และในบทสรุปของ Dark Knight Trilogy เรื่องนี้ก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ เข้าใจความหมายของวีรบุรุษและการใส่หน้ากาก
14. MAN OF STEEL
ผู้กำกับ แซค ชไนเดอร์ เป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์ DCEU ยุคใหม่ ที่เป็นการปูพื้นไปถึง Justice League ในอนาคต
ด้วยความช่วยเหลือของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่มานั่นตำแหน่งผู้อำนวยการสร้าง ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการเดินเรื่องที่กระชับมากกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของแซค ชไนเดอร์ มีการบอกเล่ามุมมองใหม่ๆ แต่ก็ยังมีช่องโหว่อยู่บ้าง ซึ่งก็ถูกกลบด้วยงานวิช่วลเอฟเฟ็คต์ระดับอลังการตามสไตล์ผู้กำกับ
อีกสิ่งที่โดดเด่นมากๆก็คือฝีมือการประพันธ์สกอร์ของ ฮานซ์ ซิมเมอร์ ซึ่งทันทีที่เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นก็ทำให้ผู้ชมรู้ได้ทันทีว่านี่คือซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นใหม่ และสามารถฉีกออกมาจากสกอร์คลาสสิคดั้งเดิมของ จอห์น วิลเลียมส์ ได้สำเร็จ
13. ROAD TO PERDITION
ดัดแปลงมาจากนวนิยาภาพของ แม็กซ์ อัลเลน คอลลินส์ เรื่อง Road to Perdition และได้รับการตีพิมพ์โดย Paradox Press ซึ่งเป็นสาขาย่อยของ DC Comics
ถึงแม้ว่าการกำกับของ แซม เมนเดส ที่เพิ่งประสบความสำเร็จจาก American Beauty จะยังไม่เข้มข้นจนจนไม่สามารถกลายเป็นงานมาสเตอร์พีซได้อย่างที่คาดหวังไว้ แต่ฝีมือการแสดงที่เอาอยู่ของ ทอม แฮงส์ และ พอล นิวแมน รวมถึงการถ่ายภาพที่สวยโคตรของ คอนราด ฮอล ก็เป็นส่วนดีที่น่าจดจำไม่น้อย
12. WATCHMEN
ผู้กำกับ แซค ชไนเดอร์ ได้นำเอาคอมมิคระดับขึ้นหิ้งมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ได้สำเร็จ มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายอย่างที่ผู้อ่านหวังไว้ เป็นการซื่อสัตย์ต่อคอมมิคต้นฉบับอย่างชัดเจน ถึงแม้จะไม่มีพลังดาราระดับแม่เหล็ก แต่มันก็ยังควรค่าแก่การชมอยู่ดี
11. THE LEGO BATMAN MOVIE
อนิเมชั่นเรื่องนี้หยิบเอาลักษณะเด่นของแบทแมนมาใช้ได้อย่างน่าทึ่งในแบบที่ภาพยนตร์ธรรมดาไม่เคยทำได้มาก่อน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของบทที่มีน้ำหนักบนความเบาสมองที่นำเสนออย่างมีชั้นเชิง และแน่นอนว่ามันได้นำความเป็นแบทแมนในยุค 60 มาจิกกัดได้อย่างน่ารัก
10. BATMAN RETURNS
หลังจากที่ Batman ภาคแรกประสบความสำเร็จ Warner Bros ก็ไฟเขียวให้ ทิม เบอร์ตัน สร้างภาคต่อได้ตามที่ใจต้องการ ซึ่งมันยังคงมีโทนมืดสไตล์กอทิกที่เป็นเอกลักษณ์ และมีทีมนักแสดงสมทบที่ทำให้แบทแมนดูด้อยลงไปทันที ทั้ง มิเชล ไฟเฟอร์, แดนนี่ เดอวีโต้ และคริสโตเฟอร์ วอลเคน
9. BATMAN
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีโทนที่เบากว่า Batman Returns ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานของ ทิม เบอร์ตัน แต่มันก็เป็นการนำแบทแมนเข้าสู่ยุคใหม่ และ แจ็ค นิโคลสัน ก็รับบทโจ๊กเกอร์ได้อย่างน่าประทับใจ 8. SUPERMAN
ริชาร์ด ดอนเนอร์ กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จากบทของ มาริโอ พูโซ ผู้ประพันธ์และเขียนบท Godfather ซึ่งแจ้งเกิดให้กับ คริสโตเฟอร์ รีฟ ที่เข้ากันดีกับบทซูเปอร์แมน และดนตรีประกอบสุดคลาสสิคของ จอห์น วิลเลียมส์ ก็ทำหน้าที่ขับเคลื่อนภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี
7. BATMAN: MASK OF THE PHANTASM
ถึงแม้จะเป็นเพียงอนิเมชั่นเมื่อปี 1993 แต่มันก็เป็นการปะทะกันระหว่าง แบทแมน และ โจ๊กเกอร์ ที่ดีที่สุดซึ่งจะเป็นรองก็แค่ The Dark Knight ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน เท่านั้น
6. V FOR VENDETTA
ดัดแปลงมาจากนิยายภาพของ อลัน มัวร์ ที่ออกนอกลู่นอกทางจากต้นฉบับไปมาก แต่ผู้กำกับ เจมส์ แม็คทีค ก็ใส่ฉากแอ็คชั่นเลือดสาดแบบสวยๆเอาไว้ให้ และการแสดงของ ฮิวโก วีฟวิ่ง ก็ทำให้เราเชื่อในบุรุษใส่หน้ากากผู้นี้ได้สนิทใจ
5. WONDER WOMAN
ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเพิ่งเข้าฉาย และยังไม่มีใครกล้าการันตีว่ามันจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด แต่ด้วยคะแนนจาก Rotten Tomatoes ที่มากถึง 93% ก็ทำให้หลายคนหันมาสนใจซูเปอร์ฮีโรหญิงคนแรกของ DC ผู้นี้
4. A HISTORY OF VIOLENCE
อีกหนึ่งผลงานที่ดัดแปลงมาจากค่าย Paradox Press กำกับการแสดงโดย เดวิด โครเนนเบิร์ก ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภาพยนตร์ถูกดัดแปลงมาจากนิยายภาพ และการได้ชิงรางวัลออสการ์ในสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ก็การันตรีคุณภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้
3. SUPERMAN II จริงๆแล้ว ริชาร์ด ดอนเนอร์ กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้เกือบ 80% ก่อนที่จะมีปัญหากับสตูดิโอจนถูกถอดถอนไป แต่เวอร์ชั่น The Richard Donner Cut ที่ผู้กำกับนำมาตัดต่อใหม่ก็ทำให้มันกลายเป็นภาพยนตร์ภาคต่อจากคอมมิคที่ดีที่สุดตลอดกาลไปเลย 2. BATMAN BEGINS
คริสโตเฟอร์ โนแลน ได้พิสูจน์ให้สตูดิโอเห็นความสามารถได้เป็นครั้งแรก ด้วยการนำเสนอแบทแมนออกมาในโทนจริงจัง และมีความเป็นมนุษย์ธรรมดามากขึ้น ซึ่งเป็นโทนที่ DCEU หรือแม้แต่ MCU ก็ขาดไปในภาพยนตร์เรื่องหลังๆมานี้
1. THE DARK KNIGHT
คงไม่ต้องอธิบายสรรพคุณกันมากสำหรับภาคที่ 2 ของ The Dark Knight Trilogy ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่แตกต่างจาก Batman Begins ที่มีการเดินเรื่องที่กระชับโดยสิ้นเชิง
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการชิงไหวชิงพริบกันระหว่าง แบทแมน และ โจ๊กเกอร์ ที่เต็มไปด้วยอารมณ์พุ่งพล่านตลอดเวลา มันเป็นเหมือนการเอาจุดพีคหลายๆจุดมาเรียงต่อกัน ซึ่งเพิ่มความกดดันให้กับคนดูจนเดาทางไม่ออกว่า โจ๊กเกอร์ มีแผนอะไรกันแน่ แต่รับรองได้ว่ามันเป็นบททดสอบศีลธรรมในตัวมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
และที่น่าประทับใจที่สุดคือ ฮีธ เลดเจอร์ ผู้ล่วงลับ ที่รับบทโจ๊กเกอร์ได้หลุดโลกเกินกว่าที่นักแสดงทุกเคยทำเอาไว้ จนได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
ข้อมูลอ้างอิง : screenrant