หนัง “ไมเคิล เบย์” เรื่องไหน สนุกสาแก่ใจคุณมากที่สุด
ถึง Transformers: The Last Knight จะถูกวิจารณ์เสียจนเละเทะไม่มีชิ้นดี แต่ก่อนที่ลุงผู้กำกับอย่างไมเคิล เบย์จะมาหากินอยู่กับแฟรนชายส์หุ่นกระป๋องแปลงร่างอยู่หลายภาค (แถมทุกภาคที่กำกับลุงบอกเสมอว่าภาคต่อไปจะไม่กลับมากำกับแล้วนะ แต่เขาก็กลืนน้ำลายตัวเองแล้วกลับมากำกับทุกที อย่างไรก็ตามดูเหมือนลุงจะหมดมุกในการเล่าเรื่องราวของหุ่นแปลงร่างเต็มที
อันที่จริงนอกเหนือจากหนังทรานส์ฟอร์เมอร์แล้วในยุคปี 2000 เป็นต้นมา ไมเคิล เบย์ยังมีผลงานหนังแอ็คชั่นเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่อง ซึ่งมีสไตล์และความน่าสนใจแตกต่างกันไป ใครชอบเรื่องไหนกันบ้างมาโหวตให้คะแนนกันครับ
Pearl Harbor (2001)
ภาพจำของหนัง : ฉากอ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์โดนโจมตี / ดาราชายจอช ฮาร์ทเน็ทท์กลายเป็นดาราชายสุดฮ็อตในยุคนั้น/เพลงประกอบภาพยนตร์อย่าง There You'll Be โด่งดังจนถึงทุกวันนี้
เรื่องราว : หนังอ้างอิงจากเหตุการณ์จริงก่อนเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ผสมผสานกับเรื่องราวรักสามเส้าที่นำไปสู่โศกนาฎกรรมสุดสะเทือนใจ แต่จริงๆแล้วตัวหนังเหมือนหยิบเอาแค่เหตุการณ์ เครื่องบินทิ้งระเบิดของญี่ปุ่นมาถล่มอ่าวเพอร์ฮาร์เบอร์ ที่ฮาวายมาเป็นแค่องค์สองของหนังเพื่อขับเคลื่อนเหตุการณ์โศกนาฏกรรมมากกว่าจะเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แต่ถ้าจะดูเอาพอบันเทิงก็จัดได้ว่าหนังไม่ได้เลวร้าย โดยหนังเล่าเรื่องของราฟ(เบน แอฟเฟล็ค) และแดนนี่ (จอช ฮาร์ทเน็ทท์) สองเพื่อนรักที่สมัครเข้าร่วมเป็นนักบินประจำกองทัพ ราฟตกหลงหลุมรักเอเวอลีน (เคท แบคคินเซล) นางพยาบาลสาวสวย แต่เหตุการณ์ที่เครื่องบินญี่ปุ่นถล่มตอนเช้าวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ทำให้เกิดชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 2 และนำไปสู่เรื่องราวโศกนาฏกรรมความรัก
ระดับความสนุก : 7/10
Bad Boy 2 (2003)
ภาพจำของหนัง : ฉากไล่ล่าสุดวินาศสันตะโรบนไฮเวย์/ฉากแอ็คชั่นแบบสโลว์โมชั่น
เรื่องราว : ไมก์ โลว์รีย์ (วิล สมิธ) และ มาร์คัส เบอร์เน็ตต์ (มาร์ติน ลอว์เรนซ์) สองคู่หูนายตำรวจที่ได้ผันตัวเข้ามาอยู่ในหน่วยงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งได้รับภารกิจในการยับยั้งการขนส่งยาเสพติดเข้ามาในไมอามี่ ซึ่งคาดว่ามีหัวโจกอย่างจอห์นนี่ ทาเปีย (จอร์ดี้ มอลล่า) เป็นคนชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่เหตุการณ์ก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้นเมื่อซิด (แกเบรียล ยูเนี่ยน) น้องสาวคนสวยของมาร์คัส เข้าไปเจอต้นตอของปัญหาทั้งหมด อีกทั้งเธอยังตกหลุมรักเข้ากับไมก์อีก วุ่นวายกันเข้าไปใหญ่ ถ้าใครชื่นชอบหนังแนวคู่หู Bad Boy 2 คือหนังที่ยิงกันรัวชนิดคนดูหูดับกันไปข้าง แต่น่าเสียดายตรงที่พล็อตเรื่องค่อนข้างซ้ำซากคาดเดาได้
ระดับความสนุก : 6/10
The Island (2005)
ภาพจำของหนัง : ฉากผู้พักอาศัยขนาดใหญ่ในชุดขาว/ฉากเฮลิคอปเตอร์ยิงถล่มคู่พระนางจนตกจากไฟโฆษณา
เรื่องราว : หนังเล่าเรื่องราวโฟกัสไปที่ตัวละครลินคอล์น 6 เอ็คโค่ (ยวน แมคเกรเกอร์) เขามักจะฝันร้ายและตั้งคำถามมากมายว่าเหตุใดเขาถึงต้องนั่งปฏิบัติหยอดสารเคมีลงไปในสายที่ทอดยาวไปที่ไหนก็ไม่รู้อยู่ตลอดเวลา ความหวังเดียวของผู้คนในสถานที่ที่เรียกว่าตึก ปลอดเชื้อคือการถูกล็อตเตอรี่เพื่อเดินทางไปยัง “เกาะ” สถานที่ปลอดเชื้อแห่งสุดท้ายของมนุษย์ จนกระทั่งลินคอล์นได้พบความจริงที่ว่า “เกาะสวรรค์” ไม่ได้มีอยู่จริงและทุกอย่างเป็นเรื่องลวงโลก ที่เขาจะต้องดิ้นรนหนีเพื่อเอาชีวิตรอด
The Island น่าจะเป็นหนังที่ “ดูเข้าท่า” ที่สุดของผู้กำกับไมเคิล เบย์ในยุคหลังมา เพราะนอกจากจะมีประเด็นเรื่องสิทธิของมนุษยชนแล้ว มันยังแทรกสอดแนวคิดเรื่องการโคลนนิ่ง อะไหล่มนุษย์ ซึ่งน่าจับตามองว่าในอนาคตถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาจริงๆเราจะรับมือกับมันอย่างไร ที่สำคัญหนังเรื่องนี้ก็ดูสนุก กลมกล่อม หยิบมาดูใหม่ตอนนี้ก็ยังไม่เชย
ระดับความสนุก : 9/10
Pain and Gain (2013)
ภาพจำของหนัง : ตัวละครที่บ้าคลั่งฟิตเนส ผู้หญิงนมใหญ่ก้นงอนงามตามสไตล์ผู้กำกับไมเคิล เบย์
เรื่องราว : ตัวหนังดัดแปลงมาจากเหตุการณ์จริงของเทรนเนอร์ฟิตเนสในไมอามี่ในปี 1990 ที่หวังอยากรวยทางลัดตามแบบฉบับอเมริกันดรีม พวกเขาเลยจับพลัดจับผลูเข้าไปเกี่ยวข้องกับแวดวงอาชญากร การลักพาตัว ปล้น ก็จะบานปลายจนเกินคาดคิด ตัวหนังได้ดาราหล่อกล้ามโตมาทั้งเดอะ ร็อค มาร์ค วอลเบิร์กและแอนโธนี่ ไมค์กี้ รวมไปถึงรีเบล วิลสัน เอ็ดแฮร์ริส ในภาพรวมดูได้พอเพลินๆ มีฉากไล่ล่าตามสไตล์ไมเคิล เบย์และขายความเป็นชายแบบกลิ่นฟีโรโมนพุ่งทะลัก
ระดับความสนุก : 6/10
13 Hours (2016)
ภาพจำของหนัง : ฉากสงครามเวลากลางคืนที่ดุเดือดและยิงกันในระดับนอนสตอป
เรื่องราว : ตัวหนังดัดแปลงมาจากหนังสือในชื่อ 13 Hours : The Secret Soldiers of Benghazi ผลงานการเขียนของ มิทเชล ซัคคอฟ บอกเล่าเหตุโจมตีสถานกงสุลสหรัฐฯในเมืองเบงกาซี ประเทศลิเบีย เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2012 โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้สังหาร เอกอัครราชทูตสหรัฐ คริสโตเฟอร์ เจ. สตีเว่นส์ ณ เวลานั้นเหลือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพียงแค่ 6 คน ที่ต้องคอยรักษาชีวิตของชาวอเมริกันในลิเบียให้มีชีวิตรอดมากที่สุด ตัวหนังในช่วงแรกอาจจะมาในสไตล์ที่เราไม่คุ้นชินสักหน่อยนั่นคือแนวดราม่า ทริลเลอร์และแทรกความกดดันทางการเมืองเข้ามา (แต่ก็ไม่ได้เข้มข้นเท่าหนังอย่าง Black Hack Down หรือ Lone Survivor) แต่ช่วงไคลแม็กซ์ลายเซ็นของผู้กำกับไมเคิล เบย์ก็ชัดเจนมากด้วยการอัดฉากระเบิดตูมตาม และใส่ห่ากระสุนเข้ามาแบบไม่บรรยะบรรยัง ถึงหนังจะไม่มีดาราระดับแม่เหล็ก แต่ในภาพรวมของ 13 Hours คือหนังสงครามที่สนุกใช้ได้เลยทีเดียว
ระดับความสนุก : 7/10
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ