ดูแล้วบอกต่อ Rough Night – ค่ำคืนแห่งความเลยเถิด
จริงอยู่ที่ว่าหนังแนวความผูกพันระหว่างเพื่อนนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของหนังเรื่องนั้นๆ คือการที่ผู้กำกับต้องพยายามทำให้คนดูเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าบรรดานักแสดงที่มารับบทบาทเป็นตัวละครในเรื่องนั้นจะต้องมีความเป็นตัวละครที่พวกเขารับบทบาทเช่นนั้นจริงๆ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังอย่าง Rough Night ค่อนข้างให้ความรู้สึกว่าเพื่อนกลุ่มนี้ ไม่ได้สนิทกันมากนัก แต่เพราะสถานการณ์ทุกอย่างนำพาไปและบีบบังคับให้พวกเขาต้องสนิทกันเสียมากกว่า
อาจจะเป็นเพราะว่าสถานการณ์ชวนหัวที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาของภาพยนตร์นั้น เน้นความตลกโปกฮาของสถานการณ์อันเหลือเชื่อ ที่ว่าด้วยคืนสละโสดของ เจส เธเยอร์ (สการ์เลต โจแฮนสัน) เธอและผองเพื่อนเดินทางไปฉลองความโสดครั้งสุดท้ายก่อนเข้าพิธีแต่งงานที่ไมอามี่ ด้วยการเช่าบ้านพักตากอากาศสุดหรูริมทะเล ในค่ำคืนนั้นพวกเธอเดินทางไปปาร์ตี้ตามไนท์คลับ แม้เจสจะยืนยันว่าเธอเลิกพี้ผงขาวไปนานแล้ว แต่ด้วยความพยายามโน้มน้าวใจว่านี่เป็นโมเมนต์ที่จะไม่มีวันลืมของทั้ง 5 สาว นี่เป็นสิ่งที่เจสและเพื่อนควรกลับมาทำกันอีกครั้ง แน่นอนว่าความเลยเถิดยังไม่จบลงแค่การเสพย์ยา เมื่อหนึ่งในกลุ่มเพื่อนเลือกจะจ้างนักระบำเปลื้องผ้าชายมาแกล้งเจสในค่ำคืนดังกล่าว
ความวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่ออลิซ (จิลเลี่ยน เบลล์) กระโจนใส่นักระบำเปลื้องผ้าเป็นผลทำให้เขาล้มหัวฟาดพื้นและถึงแก่ความตาย สถานการณ์เริ่มเลวร้ายขึ้นเมื่อทั้งห้าสาวพยายามอำพรางศพ แต่ทุกอย่างก็พลิกผันกลับตาลปัตรไปเรื่อยๆ เมื่อความจริงปรากฏ
ท่ามกลางสถานการณ์ที่วุ่นวาย เราสามารถเรียนรู้ทัศนคติบางอย่างของตัวละครได้อย่างน่าสนใจ แต่สิ่งที่เป็นทัศนคติที่ผู้เขียนเห็นว่าหนังค่อนข้างหาทางออกให้กับตัวละครได้อย่าง “มักง่าย” และไม่ได้คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ซักเท่าไหร่ เมื่อทั้งห้าสาวพยายามหลบเลี่ยงความผิดที่ตนก่อด้วยการโทรปรึกษากับนักกฎหมายว่า “ถ้าหากไม่มีศพ” ความผิดก็จะไม่เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เรื่องราวทั้งหมดพลิกผันและกลายเป็นว่านักระบำเปลื้องผ้านั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นอาชญากรที่ปลอมตัวมา ดังนั้นการตายของเขาจึงเป็นเรื่องที่ไร้ค่า และการที่ห้าสาวทำให้เขาตายโดนอุบัติเหตุนั้น เป็นเรื่องอันชอบธรรม!? ทั้งห้าไชโยโห่ร้องราวกับว่า การทำให้เขาตายนั้นเป็นเรื่องสมควรแล้ว
พฤติกรรมที่ตัวละครทั้ง 5 ทำ กลายเป็นฉากการสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรม ใช้ศาลเตี้ยตัดสินว่า การเป็นอาชญากรที่อุกอาจนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายพิจารณา พิพากษาคดี แต่สามารถทำได้โดยปราศจากความผิด ก่อนที่หนังจะขมวดปมของเรื่องอย่างรวดเร็วด้วยการตัดเรื่องราวไปที่ฉากงานแต่งงานของเจส ก่อนที่ทุกคนจะสมความปรารถนาอย่างเปี่ยมสุข โดยทำเหมือนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่อาชญากรรมแต่ประการใด
บางทีเราอาจจะสนุกไปกับมุกตลกในหนังบ้าง ขำบ้างไม่ขำบ้าง แต่สิ่งที่ไม่ขำเลยคือ “ระหว่างบรรทัด” ที่หนังละเลยจะให้ความถูกต้องไปอย่างไม่แยแส