THE FACE MEN THAILAND EP.5 มายาคติของวงการบันเทิง
THE FACE MEN EP5 – มายาคติของวงการบันเทิง
สิ่งที่เกิดขึ้นใน EP4 หลังจากที่ดราม่าระหว่างทีมเมนทอร์ลูกเกดและเมนทอร์พีชเป็นไปอย่างร้อนแรง เมื่อเมนทอร์ลูกเกดซัดเมนทอร์พีชว่า “ไม่เป็นมืออาชีพ” ในการทำงาน ดูเหมือนว่าประโยคนั้นจะสร้างแรงขับอะไรให้เมนทอร์พีชปรับปรุงตัวหรือพัฒนาฝีมือขึ้นใน EP5 หรือไม่ สัปดาห์ที่ 5 จะมีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นและน่าเก็บมาพูดถึงบ้างเรามาดูกัน
มาสเตอร์คลาสที่ยังไร้เงาเมนทอร์พีช
ใน The Face Men มีมาสเตอร์คลาสมาแล้วถึง 4 ครั้ง (EP2-EP5) เมนทอร์ที่มาให้ความรู้ทั้ง 4 ตอนที่ผ่านมานั้นกลับมีแค่เมนเทอร์ลูกเกดที่มาสอนเรื่องการถ่ายภาพนิ่ง ขณะที่เมนทอร์หมูเคยรับหน้าที่ในการสอนการเดินแบบแล้วแค่เพียง 1 ครั้ง ทว่า ณ เวลานี้ยังดูจะไร้เงาของเมนทอร์พีช ในการทำหน้าที่ผู้มาให้ความรู้ในการฝึกฝนความสามารถของเหล่าผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งเราได้ก็แต่คาดหวังว่าเมื่อถึงโจทย์แอ็คติ้งการแสดง พีชอาจจะเหมาะกับการถ่ายทอดความรู้ในหัวข้อดังกล่าวก็เป็นได้ คำถามอยู่ที่ว่าเขาจะโผล่มา EP ที่เท่าไหร่ หรือยันจบซีซั่นแล้วพีชจะทำหน้าที่ได้แค่เป็นเมนทอร์ช่วงแคมเปญอย่างเดียว ก็ต้องรอดูกันต่อไปนะ
เวลาผู้ชายแรด คือความน่ารัก
สิ่งที่เราอดปฏิเสธไม่ได้ว่าความไม่เท่าเทียมกันทางเพศมีอยู่จริง คือยามที่เวลาผู้หญิงทำตัวดูแมนๆ เป็นผู้ชาย กลับดูไม่ให้ความรู้สึกตลกขบขันหรือน่าเอ็นดู เท่ากับเวลาที่ผู้ชายพยายามทำตัวให้กลายเป็นผู้หญิง หรือพูดง่ายๆว่าเมื่อผู้ชายแท้พยายาม “ดัด” จริตของตัวเองให้มีความเป็นผู้หญิงโดยการเสแสร้งแกล้งทำ แบบในตอนมาสเตอร์คลาสใน EP5 ที่โจเซฟตีความโจทย์ว่าตัวเองกำลังเป็น “พริตตี้” ซึ่งความหมายในที่นี้ก็คือ พริตตี้งานมอเตอร์โชว์ ดังนั้นวิธีการพรีเซนต์ตัวเองของโจเซฟ คือการถกเสื้อมัดเป็นเสื้อสายเดี่ยวเพื่อโชว์เนินอก (ล่ำๆ) และเปิดหน้าท้อง ราวกับเสื้อสายเดี่ยว เรียกได้ว่าขโมยซีนและฆ่าเพื่อนๆรวมเฟรมตายคาจอ ไม่เว้นแต่ฟิลลิปส์ที่อินเนอร์สาวแตกเต็มที่ก็ยังไม่รอด (อรรถรส ไหมครับ)
ฉ่ำวาว ผิวเด้ง
คีย์เวิร์ดคำใหม่ปรากฏขึ้นบนโลกโซเชียลอีกครั้งหนึ่ง (ซึ่งถ้าคำหลัง เติมไม้เอกเข้าไปอาจสุ่มเสี่ยงต่อเรท 18+ ขึ้นมาทันที) กับแบรนด์สินค้าสปอนเซอร์ซึ่งถูกนำมาเป็นโจทย์ในการทำแคมเปญล่าสุดที่หนุ่มๆแต่ละทีมต้องถ่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวควบคู่ไปกับธีมภาพในล็อคเกอร์ ในช่วงเวลาของการทำแคมเปญใน EP5 ไม่ได้มีอะไรน่าติดใจมากมายเพราะทุกทีมดูทำผลลัพธ์ออกมาได้ดูดี คู่คี่สูสีกันมาก มีทีมที่น่าให้เอาใจช่วยหน่อยก็คือทีมของเมนทอร์พีช (อีกแล้ว) ที่ดันไปจัดพร็อพและฉากใหม่เป็นผลทำให้แสงที่ทีมงานและตากล้องเซตเอาไว้เกือบพังพินาศ แต่ท้ายที่สุดแล้วผลการตัดสินในแคมเปญวันนี้ ชัยชนะไปตกอยู่กับทีมพี่หมู อาซาว่า ซึ่งโดนบรรดาเมนเทอร์คนอื่นๆแซะว่า ก็สมควรจะชนะเพราะพาลูกค้าไปกินข้าวมาด้วยกันนี่นา (แผนสูงนะพี่หมู)
มายาคติของวงการบันเทิง
ช่วงเวลาก่อนเข้าห้องดำ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เครียดที่สุด แต่ดูเหมือนหนุ่มๆในทีมเมนทอร์พีชจะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วสำหรับความพ่ายแพ้ ถึงกับล้อกันเล่นเสียสนุกปากว่าเมื่อวานพีเคฝันว่าตัวเองต้องเข้าห้องดำ แล้วก็กลายเป็นว่าวันนี้พีเค ก็ถูกเมนทอร์พีชส่งเข้าห้องดำไปจริงๆ
ระหว่างที่ห้องของเมนทอร์พีชออกจะสรวนเสเฮฮาราวกับวัยรุ่นเล่นโอน้อยออกเข้าห้องดำ ทีมเมนทอร์ลูกเกดก็ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศมาคุ กดดัน ตามสไตล์เธอ แต่ครั้งนี้เธอกลับโยนคำถามใส่ลูกทีมแต่ละคนว่า “มารายการนี้เพื่ออะไร” สองคนในทีมลูกเกดที่ตอบไปในทิศทางเดียวกัน (และเข้าใจว่ามีมุมมองต่อวงการบันเทิงในทิศทางเดียวกัน) ก็คือกันย์และมอส สองหนุ่มที่มาพร้อมคาแรกเตอร์เป็นหนุ่มหล่อจากต่างจังหวัด (คนนึงผิวคล้ำ มีเสน่ห์แบบหนุ่มไทยๆ กับอีกคนที่ดูเป็นหนุ่มอีสาน มีความบ้านๆในแบบของตัวเอง)
ความน่าสนใจก็คือสองคนนี้มองว่า “วงการบันเทิงคือใบเบิกทางที่น่าจะทำให้ชีวิตของพวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” ซึ่งแนวความคิดชุดนี้เรียกได้ว่าสำหรับคนที่เคยผ่านงานในแวดวงการบันเทิงมาระยะหนึ่งแล้วจะพอทราบว่า ในระยะแรกของการมีชื่อเสียงนั้น อาจจะทำสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำก็จริงอยู่ แต่ไม่ใช่ว่า “ทุกคน” จะได้เป็น “พระเอก” ในระดับเดียวกับณเดชหรือเจมส์ มาร์ ความมั่นคงในอาชีพของการเป็น “นักแสดง” นั้นเรียกได้ว่าสถานการณ์ความมั่นคงในวงการบันเทิงบ้านเรานั้นน่ากลัวพอๆกับความตกต่ำของเรตติ้งจากสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ (ดังนั้นเราจึงมักจะเห็นดารา นักร้องโผล่มาออกรายการเกมโชว์กันจนเบื่อหน้าค่าตากันไปข้าง หรือบางคนก็กลับมาโด่งดังเป็นพลุแตกอีกครั้งก็มี สะท้อนถึงความไม่มั่นคงในอาชีพการงานนี้เช่นกัน)
แน่นอนว่าชื่อเสียงและการที่บรรดาผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนได้รับในช่วงเวลาที่ The Face Men ซีซั่นนี้กำลังออนแอร์อยู่นั้นพวกเขากลายเป็น “ตัวละคร” ในรายการทีวีโชว์ที่ผู้คนกำลังจดจำและอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเรา (อย่างน้อยก็ตลอดช่วงเวลาที่รายการออนแอร์) แต่เราลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าใน The Face (ผู้หญิง) ทั้ง 3 ซีซั่นที่ผ่านมา (รวมไปถึงรายการเรียลลิตี้รายการอื่นๆ) เราจดจำใครได้บ้างแล้วคนที่ไปถึงฝั่งฝันนั้นมีแค่กี่คน และปัจจุบันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่เหลือนั้นทำอะไรอยู่บ้างหลังรายการจบลงไปแล้ว จริงอยู่ที่ความฝันในการเป็นนักแสดงนั้นอาจจะเป็นใบเบิกทางสำคัญในชีวิต แต่ในขณะเดียวกันองค์ประกอบของการเป็น “คนมีชื่อเสียง” นั้นไม่ได้หมายถึงหน้าตาที่ดีอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยอีกหลายปัจจัยและอีกหลายอุปสรรคในวงการบันเทิงที่ขึ้นชื่อว่าฉากหน้าสวยงามแต่เบื้องหลังแล้วเต็มไปด้วยความมืดมิดและคาดไม่ถึง
จากห้องดำสู่แนวคิดบางอย่าง
ถึงแม้ว่าเมนเทอร์หมูจะเลือกคัดกันย์จากทีมเมนทอร์ลูกเกดออกจากรายการใน EP5 แต่ประโยคเด็ดในห้องดำที่ว่า “กล้องรักกันย์ ผมก็รักกล้อง” จึงกลายเป็นประโยคที่เสียดเย้ยและซื่อตรงไปพร้อมๆกัน ดังที่เราได้เห็นการที่พีเคหลุดขำประโยคดังกล่าวแบบไม่ทันตั้งใจ และในขณะเดียวกันมันก็เป็น “ความซื่อ” ของกันย์เองด้วยเช่นกัน พีเคหลุดขำประโยคนี้ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนใจร้าย แต่ด้วยความที่พีเคมี “พื้นฐาน” ในชีวิตที่มั่นคงกว่ากันย์ (ทั้งฐานะทางบ้านและประสบการณ์ชีวิต) เขาจึงไม่ยี่หระอะไรถ้าหากเขาโดนคัดออก แต่ในขณะที่เดิมพันของกันย์นั้นที่มีพื้นฐานด้อยกว่า (และแน่นอนว่าส่งผลต่อความมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆในรายการด้วย) การได้อยู่ในรายการต่อนั่นหมายถึงโอกาสที่เขาอาจจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยนั่นเอง
พีเคสุ่มเสี่ยงจะกลายเป็นผู้เข้าแข่งขันที่รายการอาจจะเลือกใช้วิธีการตัดต่อมาให้คนดูเกลียด (ด้วยคาแรกเตอร์และความไม่สนใจอะไร) แต่เมื่อก่อนออกจากห้องดำ เขาก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนด้วยการกอดกันย์และถามว่า “ไหวไหม” หรือการเดินไปจับมือขอโทษลูกทีมของเมนทอร์ลูกเกดเพื่อแสดงความเสียใจในแบบนักกีฬา พีเคยังมาพร้อมกับประโยคเด็ดที่ว่า “ถึงแม้เราจะเป็นเบี้ยที่ต้องเสียไปในวันหนึ่ง แต่วันนี้หน้าที่ของเราคือปกป้องแมนไปเรื่อยๆ” เหล่านี้อาจจะดูเป็นความคิดแบบ “ใจๆ ผู้ชายเพื่อนกัน ตายแทนกันได้” มันสวยหรู ดูเท่ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเจตนาที่ดีมากๆของพีเค ซึ่งน่าชื่นชมมากๆเช่นกัน
แต่ในอีกมุมหนึ่งที่น่าคิดเช่นเดียวกันว่า ถ้าหากเราสมมติมีผู้เข้าแข่งขันแบบกันย์อยู่ในทีมของเมนเทอร์พีช แล้วพบว่าตัวเองมีหน้าที่เป็นแค่หมากตัวหนึ่งเพื่อส่งให้เพื่อนร่วมทีมไปเดินไฟนอล วอล์คเท่านั้น จะมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาทันทีว่า คุณยอมแลกความฝันของตัวเอง เพื่อให้เพื่อนของคุณได้ชัยชนะ มันอาจจะซื้อใจเพื่อนได้ แต่อย่าลืมว่าอันดับที่ 1 นั้นมีแค่คนเดียวที่จะได้ครอบครองมันเท่านั้น
อย่าลืมว่านี่ไม่ใช่การแข่งฟุตบอลพรีเมียร์ลีค.....ที่ชนะคนเดียวแล้วจะทำให้ชนะทั้งทีม หรือท้ายที่สุดแล้ว ทีมชนะก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในทีมจะ “ได้รับโอกาสในวงการบันเทิง” เสมอไป ..........
เพราะมายาคติของวงการบันเทิงที่แท้จริงนั้นก็เหมือน กองไฟที่เอาไว้ล่อแมงเม่าที่พร้อมจะบินเข้ามาโดยที่ฉุกคิดถึงความร้อนของเปลวไฟไม่ทัน
อย่างที่เราได้เห็นการ “แสดง” ของกันย์ในท้ายรายการนั่นไงคือตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นว่า บางเรื่องอาจจะดูจริงแต่สิ่งที่เราคิดว่าเป็นอารมณ์ความรู้สึกจริงๆอาจจะไม่จริงก็ได้ นี่แหละวงการบันเทิง!!
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ