รีวิว The Hitman's Bodyguard คนละขั้วเดียวกัน
ก่อนหน้า The Hitman's Bodyguard ไรอัน เรย์โนลด์เคยเล่นหนังแนวพาร์ทเนอร์คู่หู (ที่ไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไหร่) ใน R.I.P.D. หนังมือปราบปีศาจที่เละเทะไม่มีชิ้นดี เพราะออกจะปัญญาอ่อนมากกว่าจะตลก หลังจากหนังเรื่องดังกล่าวดูเหมือนว่า ไรอันก็ดูเหมือนจะไม่มีผลงานที่เปรี้ยงซะที จนกระทั่งเขาได้รับบทเป็นซูเปอร์ฮีโร่จอมกวนตีนอย่างเดดพูลเมื่อปีก่อน (แต่ก็น่าเศร้าอีกเหมือนกันเพราะตลอดทั้งเรื่องเขาต้องใส่หน้ากากและอดโชว์หน้าหล่อๆ)
The Hitman's Bodyguard เป็นหนังแนวที่ว่าด้วยคนที่ต่างขั้วกันหรือไม่ถูกชะตากันจะต้องมาทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุจุดประสงค์บางอย่าง ซึ่งไรอัน เรย์โนลด์รับบทบาทเป็นไมเคิล ไบรซ์ บอดี้การ์ดฝีมือดี ที่ต้องทำหน้าที่ในการปกป้องดาเรียส คินเคด (แซมมวล แอล. แจ็คสัน) พยานคนสำคัญของจอมเผด็จการวลาดิสลาฟ ดูโควิช (แกรี่ โอลด์แมน) ในศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งดาเรียสยอมเสี่ยงตายมาเป็นพยานเพื่อแลกกับอิสรภาพของภรรยาตนโซเนีย (ซัลม่า ฮาเย็ค) ที่ถูกจำคุก
ปัญหามีอยู่ว่าไมเคิลและดาเรียสมีเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมงในการเดินทางจากอังกฤษตอนเหนือไปยังกรุงเฮก ซึ่งตลอดการเดินทางทั้งคู่มีความเสี่ยงในการที่มือสังหารจะจ้องเอาชีวิตดาเรียส การเดินทางของทั้งสองจึงเต็มไปด้วยอุปสรรคและมิตรภาพแบบบ้าๆบอๆ
สิ่งที่น่าสนใจใน The Hitman's Bodyguard นั้นคือเรื่องราวแรงขับของตัวละครอย่างไมเคิล ไบรซ์ เราจะพบว่าตัวละครนี้มีความชอกช้ำจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา เขาผ่านจุดตกต่ำของชีวิตและค้นพบว่าตัวเองสูญเสียความมั่นใจไปเนื่องจากความผิดพลาดในอดีต การที่แฟนเก่าของตนเองดึงเขากลับมาทำงาน แถมเป็นงานที่เขาต้องปกป้องผู้ชายที่พยายามจะฆ่าไมเคิลมาเป็นเวลาเกือบสิบปี ทำให้มันเป็นเรื่องที่ยากในการจะทำใจ
น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน ที่ The Hitman's Bodyguard อาจจะเป็นหนังแอ็คชั่นตลกโปกฮา แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่หนังพยายามปูให้ตัวละครมีปูมหลัง ความบาดหมางและความไม่ลงรอยกันระหว่างไมเคิลและดาเรียสนั้นคลี่คลายอย่างง่ายดาย จริงอยู่ที่เราอาจจะเห็นสองตัวละครนี้ทะเลาะกันอยู่ตลอดเวลา แต่นั่นก็เป็นเพราะบทภาพยนตร์ตั้งใจเขียนขึ้นเพื่อนำไปสู่ฉากต่อสู้วินาศสันตะโรตลอดทั้งเรื่อง
The Hitman's Bodyguard ยังเป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องที่ “ไม่สนุก” แต่หนังเรื่องนี้สนุกได้เพราะมีการตัดต่อที่เร้าใจ โดยเฉพาะฉากแอ็คชั่น ทว่าฉากปะทะคารมของตัวละครนั้นจัดได้ว่าแห้งเหือดมุขตลก (มันอาจจะตลกบ้าง แต่ก็ไม่ใช่มุกตลกตกเก้าอี้ขำกรามค้าง) แถมหลายครั้งหนังเรื่องนี้ก็ “ตลก” เพราะความหยาบคายประเภทคำด่า ซึ่งส่วนมากแล้วตกเป็นหน้าที่ของแซมมวล เอล แจ็คสันและซัลม่า ฮาเย็ค
น่าเสียดายที่พล็อตเรื่องอาจจะเบาบาง มุขตลกอาจจะไปไม่สุดนัก แต่เราก็พอจะบอกได้ว่า The Hitman's Bodyguard เป็นหนังเบาสมองที่ไม่ต้องพกพาไอคิวมากมายเข้าไปในโรงหนัง