รีวิว Kingsman: The Golden Circle – สายลับฉบับเด็กลง
สิ่งที่ทำให้หนังสายลับอย่าง Kingsman ภาคแรกประสบความสำเร็จนั้นมาจากสไตล์การกำกับของแมทธิว วอนน์ ที่ดัดแปลงหนังสือการ์ตูนในชื่อเดียวกันได้มีเอกลักษณ์ เปี่ยมอารมณ์ขัน มีฉากแอ็คชั่นที่ดูจริงจัง มีความเลือดสาดในแบบฉบับหนังผู้ใหญ่ตามประสาหนังเรท R และด้วยความมีเอกลักษณ์ดังกล่าว ได้ทำให้หนังสายลับวัยรุ่น-ผู้ใหญ่เรื่องนี้ฉีกกรอบจากหนังสายลับแบบเจมส์ บอนด์ หรือเจสัน บอนด์
น่าเสียดายเหลือเกินที่เอกลักษณ์ในหนังภาคแรกจะถูกลดทอนเสน่ห์ ด้วยการยัดทะนานตัวละครมากมายเข้ามาในหนังภาคนี้ อีกทั้งตัวหนังยังมีความยืดยาวและเต็มไปด้วยฉากที่ไม่จำเป็นจนทำให้หนังภาคนี้ยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งกลายเป็นความยาวที่ค่อนข้างน่าเบื่อหน่าย (บ้าง)
เหตุการณ์ในหนังภาคนี้ถูกเล่าต่อเนื่องมาจากภาคแรก ชนวนเหตุความวุ่นวายในหนังภาคนี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากกองบัญชาการของเหล่าคิงส์เมนโดนทำลายลงโดยกลุ่มก่อการร้ายลึกลับ ทำให้เอ็กซี่ต้องเดินทางไปพบกับเหล่าสายลับพันธมิตรจากสหรัฐภายใต้กลุ่มที่ใช้ชื่อว่าสเตทส์แมน นอกเหนือไปจากนี้เอ็กซี่ยังได้ค้นพบความจริงว่า แฮร์รี่ ฮาร์ท (โคลิน เฟิร์ท) ที่เสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติภารกิจในหนังภาคแรกไปนั้น แท้ที่จริงแล้วเขายังมีชีวิตอยู่ภายใต้การช่วยเหลือขององค์กรสเตทส์แมน ทำให้นอกจากเอ็กซี่จะต้องพิทักษ์โลกแล้ว เขายังต้องช่วยฟื้นฟูความทรงจำที่หายไปของแฮร์รี่อีกด้วย
Kingsman ภาคนี้มีการวางคาแรกเตอร์วายร้ายอย่างป๊อปปี้ (จูเลี่ยน แอนน์ มัวร์) เป็นตัวละครนายหญิงสติเฟื่อง แต่มีปัญญาฉลาดล้ำเลิศ ปัญหาเดียวของเธอก็คือ เธอเป็นผู้หญิงเก่งที่ประสบความสำเร็จมากแต่เธอกลับไร้ชื่อเสียง เธอจึงตัดสินใจที่จะก่อการร้ายและทำให้โลกใบนี้รู้จัก! แทนที่หนังจะสร้างคาแรกเตอร์ตัวร้ายหญิงที่น่าเกรงขาม แต่มันกลับทำให้ตัวละครนี้ดู “งี่เง่า” ในแบบที่ไม่ควรจะเป็น ความไม่น่าเชื่อถืออยู่ตรงที่ผู้ก่อการร้ายที่วางแผนจะวางยาผู้คนทั่วโลกในระดับนี้ คิดแผนการตลบหลังผู้นำสหรัฐอเมริกาได้อย่างน่าสนใจ มีฐานทัพลับอยู่ในประเทศกัมพูชา (ดีไซน์ฐานทัพได้แหว๋วน่ารักขนาดนั้น) แต่กลับไม่สามารถสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้นี่อธิบายยังไงก็ฟังดูไม่ขึ้น (เว้นเสียแต่ว่าหนังเรื่องนี้สร้างขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน)
ความเบาหวิวในการออกแบบตัวร้ายภาคนี้ให้ดูเหมือนจะฉลาด ยังไม่น่าหงุดหงิดเท่าการใส่ตัวละครใหม่มากมายเข้ามาในหนังภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นสายลับเตกิล่า (แชนนิ่ง เททั่ม) หรือผู้นำองค์กรสเตทแมนอย่างแชมป์ (เจฟฟ์ บริทเจตส์) แต่หนังก็ไม่ได้ให้เวลากับตัวละครเหล่านี้เท่าไหร่ (เหตุผลประการหนึ่งที่ตัวละครเหล่านี้บทบาทน้อยก็เพราะพวกเขาไม่มีคิวในการแสดง เพราะตารางถ่ายทำดันชนกับงานอื่น) ดังนั้นเราจึงแทบจะไม่ได้รู้จักหรือเข้าถึงคาแรกเตอร์เหล่านี้ได้อย่างที่ควรจะเป็น
ข้อดีของ Kingsman : The Golden Circle คือมันยังมีฉากแอ็คชั่นที่ดูสนุก ลื่นไหล แม้ว่าจะเป็นฉากต่อสู้ที่มีความเป็น “การ์ตูน” มากกว่าภาคแรกก็ตามที แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าในภาพรวมแล้วหนังก็ยังคงยืดยาวเกินความจำเป็นอยู่ดี