7 เรื่องน่ารู้กับหนังรักน้ำตาร่วง BREATHE
เรามักจะหมดหวังกับบางเรื่องที่เราทำไม่สำเร็จ
เราอาจจะคิดว่าชีวิตหมดสิ้นหนทาง
เราอาจจะพบทางตันที่ไม่สามารถเดินต่อไป
แต่ถ้าหากเราพบว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้แค่อีก 2 เดือนแล้วคุณจะยอมแพ้กับความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหรือไม่
1.เรื่องราวของชายผู้ไม่ยอมแพ้ต่อความตาย
จากเรื่องจริงของโรบิน คาเวนดิช (แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ จาก Hacksaw Ridge และ Silence) ชายหนุ่มผู้รักการผจญภัยและมากความสามารถ เขามีอนาคตอันกว้างใหญ่รอคอยอยู่แต่เขากลับล้มป่วยเป็นอัมพาตด้วยโรคโปลิโอ ขณะอยู่ที่แอฟริกา ท่ามกลางเสียงคัดค้านของทุกคน ไดอาน่า (แคลร์ ฟอย เจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำจากซีรีส์ TheCrown) ภรรยาของโรบิน พาตัวเขาจากโรงพยาบาลเพื่อมาอยู่ที่บ้าน ที่ซึ่งความรักและไหวพริบของเธออยู่เหนือกว่าอาการไร้สมรรถภาพของเขา ทั้งสองปฏิเสธที่จะอยู่ใต้ความเจ็บปวด และพวกเขาทำให้ผู้อื่นต้องตะลึงด้วยเสียงหัวเราะ ความกล้าหาญ และความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่
2.เรื่องจริงของ BREATHE
ในปี 1957 โรบิน คาเวนดิช หนุ่มอังกฤษผู้เปี่ยมเสน่ห์ได้พบกับสาวงามนามว่า ไดอาน่า แบล็คเกอร์ ในเวลาไม่นาน พวกเขาทั้งคู่ก็แต่งงานกัน เขาพาภรรยาไปอยู่ประเทศเคนย่า ที่ซึ่งเขาทำงานเป็นนายหน้าค้าชา แต่ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นเขากลับล้มป่วยเป็นอัมพาต ไม่สามารถขยับได้ตั้งแต่ส่วนคอลงไป และต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจจึงจะมีชีวิตอยู่ได้
เหนืออื่นใด โรบิน ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่บนเตียง และ ไดอาน่า ช่วยให้เขาได้สมหวัง แม้ว่ามันจะขัดต่อคำแนะนำทางการแพทย์ก็ตาม โรบิน ออกจากโรงพยาบาล และเดินทางไปไหนมาไหนด้วยเก้าอี้วีลแชร์ที่พ่วงด้วยเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยศาสตราจารย์เท็ดดี้ ฮอลล์ เพื่อนของเขา
จากการกระทำอันแหกคอกทำให้ โรบิน กลายเป็นผู้บุกเบิก เขายังไปไกลกว่าเดิมด้วยการรณรงค์เพื่อผู้ป่วยผู้พิการคนอื่นๆ ให้ได้รับประโยชน์จากการต่อสู้ของเขาเองด้วย เขาทำให้ผู้เชี่ยวชาญทางแพทย์ต้องงุนงงเมื่อพบว่า เขาสามารถยื้อชีวิตอยู่ได้ยาวนานโดยมีภรรยาสุดที่รักอยู่ข้างกาย
3.ไม่หยุดที่จะเผื่อแผ่ความหวังไปยังคนอื่น
เมื่อสามารถยื้อชีวิตได้นานเกินคาด โรบิน จึงเกิดความคิดว่าอยากช่วยเหลือผู้พิการรายอื่นๆ เขาระดมทุนมาสร้างรถเข็นแบบที่เขาใช้ พร้อมกับเดินทางไปงานแถลงข่าว ณ ประเทศเยอรมัน ที่ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาผู้พิการที่ทึ่งในสิ่งที่ โรบิน ทำอยู่
4.ทำงานแบบไม่เอาค่าเขียนบท
BREATHE เป็นผลงานการเขียนบทภาพยนตร์ของ วิลเลี่ยม นิโคลสัน ซึ่งเคยผ่านการเขียนบทหนังอย่าง Elizabeth: The Golden Age มาแล้ว และจุดเริ่มต้นของการเขียนบทหนังเรื่องนี้เริ่มต้นมาจากดินเนอร์มื้อหนึ่งที่ โจนาธาน คาเวนดิช โปรดิวเซอร์ของหนัง (ซึ่งอยากจะนำเรื่องราวชีวิตของพ่อตนเองมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์) เมื่อเขาเริ่มเล่าเรื่องราวของพ่อตนให้วิลเลี่ยมฟัง เขาก็ตอบตกลงเขียนบทหนังเรื่องนี้ โดยยืนกรานว่าจะไม่ขอรับค่าจ้างจากการเขียนบทนี้ โดยให้เหตุผลว่ามันเป็นเงินของ โจนาธาน ครับ เขาไม่อยากทำงานภายใต้ข้อตกลงแบบนั้น เขาขอร่มหัวจมท้ายไปกับหนัง ถ้าหนังออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ค่อยมาแบ่งส่วนแบ่งกันภายหลัง
5.จากกอลลั่มสู่บทบาทผู้กำกับ
แอนดี้ เซอร์กิส คือนักแสดงเจ้าบทบาท ผู้แสดงเป็นกอลลั่มในมหากาพย์ The Lord of the Ring และหนังที่ใช้เทคนิคโมชั่นแคปเจอร์เรื่องต่างๆอาทิ ตัวละครซีซาร์ในแฟรนชายส์ Rise of the Planet of the Apes หรือ ผู้นำสูงสุดสโน๊คจากแฟรนชายส์ Star Wars: The Force Awakens ไม่เพียงเท่านี้เขายังมีความสามารถรอบตัวไม่ว่าจะเป็นการกำกับภาพยนตร์ในฐานะผู้กำกับกองสองในไตรภาค The Hobbit ของ ปีเตอร์ แจ็คสัน มาก่อน ส่วน BREATHE คือผลงานการกำกับหนังอย่างเต็มตัวเรื่องแรก และในปี 2018 เขาจะมีผลงานการกำกับ The Jungle Book ในเวอร์ชั่นคนแสดง ซึ่งจะมีโทนหนังที่ซีเรียสกว่าของเวอร์ชั่นไลฟ์แอ็คชั่นของดิสนีย์
6.จุดแข็งของ BREATHE คือการแสดง
เชื่อขนมกินได้เลยว่าเมื่อนักแสดงมากฝีมืออยางแอนดี้ ก้าวขึ้นมากำกับภาพยนตร์แล้วสิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นอย่างมากคงหนีไม่พ้นเรื่องของการแสดง หนังขายการแสดงของจริง เขาได้นักแสดงที่ดีมากๆ อย่าง แอนดรูว์ และ แคลร์ แต่แอนดี้ก็ยังดึงเอาส่วนดีออกมาจากเหล่านักแสดงทุกคน ไม่ว่าจะนักแสดงนำหรือสมทบในหนังได้อีก เขายังคิดถึงกระบวนการหลังกล้อง เขาคอยกำกับการเคลื่อนกล้องว่ามันควรจะเริ่มตรงไหนแล้วไปสิ้นสุดที่จุดใดด้วย
7.นักแสดงนำที่เคมีลงตัว
แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ยังจำได้อย่างดีตอนอ่านบท Breathe ครั้งแรก เขากำลังเที่ยวอยู่ แล้วทีมงานบอกว่าต้องการคำตอบจากเขาโดยเร็ว เมื่ออ่านจบปุ๊บ แอนดรูวส์ปล่อยโฮออกมาเลยทันที เพราะหนังเรื่องนี้มันเต็มไปด้วยความจริงใจ ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังเฉียบแหลมมากๆ ด้วย มันตอบคำถามที่ว่า คุณจะใช้ชีวิตยังไง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหนือสิ่งอื่นใด หนังเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจที่ดี
แคลร์ ฟอย นางเอกของเรื่องเธอพบว่าตัวเองปลาบปลื้ม ไดอาน่า คาเวนดิช ในชีวิตจริงซึ่งเธอจะต้องมารับบทบาทนี้ในหนังเอามากๆ ปัจจุบันไดอาน่าอายุ 80 กว่าปีแล้วและยังอาศัยอยู่ในแถบอ็อกซ์ฟอร์ดไชร์ด ซึ่งเธอโชคดีที่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับไดอาน่าตัวจริง ทำให้เธอได้เรียนรู้แนวคิดและบุคลิกในบทบาทที่เธอต้องแสดง
ยิ่งไปกว่านั้นการที่ได้แอนดรูว์ การ์ฟิลด์และแคลร์ ฟอย มารับบทเป็นสองสามีภรรยากัน ทั้งคู่มีเคมีที่ลงตัว เล่นบทคู่รักราวกับว่าทั้งสองรักกันจริงๆ และเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยทีเดียว