7 เรื่องน่ารู้ก่อนดู ทีมดับเพลิงระห่ำ ใน ONLY THE BRAVE
ย่างเข้าปลายปี บรรดาหนังคุณภาพที่รวบรวมนักแสดงฝีมือดี เนื้อเรื่องน่าสนใจ ดัดแปลงมาจากเหตุการณ์จริง เริ่มทยอยเข้าฉาย เพื่อให้ทันกับช่วงเวลาที่สถาบันรางวัลภาพยนตร์ต่างๆจะเริ่มพิจารณาหนัง “น้ำดี” ONLY THE BRAVE น่าจะจัดอยู่ในประเภทหนัง “ทีมนักแสดง” และ “หนังที่มีบทดัดแปลง” ที่น่าสนใจ และนี่คือ 7 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้
1.ดัดแปลงมาจากเรื่องของ “วีรบุรุษตัวจริง”
หนังเรื่องนี้นำมาจากเรื่องจริงของหน่วย Granite Mountain Hotshots หน่วยนักผจญเพลิงที่กล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยมีหน่วยดับเพลิงท้องถิ่นหน่วยๆ ไหนทำมาก่อน จนได้ขึ้นพาดหัวจากการผจญเพลิงนรกบนเนินเขายาร์เนล (Yarnell Hill Fire) ภาพยนตร์เจาะลึกเรื่องราวของเหล่านักผจญเพลิง ตั้งแต่ชีวิตประจำวันทั่วไปจนถึงเหตุผลเฉพาะตัวที่ทำให้แต่ละคนในหน่วยลุกขึ้นมาปกป้องทุกคนเมื่อถึงเวลาคับขัน
2.หนังที่แสดงให้เห็นถึงบรรดาชีวิตจริงของคนมีอุดมการณ์
การที่คนสักคนจะมาทำงานเสี่ยงอันตรายด้วยการดับไฟป่านั้น ต้องเป็นคนที่อุทิศตนเพื่อสังคม แรกเริ่มพวกเขามาด้วยตัวคนเดียว ก่อนจะเริ่มทำงานร่วมกัน ผ่านการฝึกด้วยกัน การทุ่มเทกับงานทำให้พวกเขาสนิทสนม กลายเป็นหน่วยฮอตชอต หน้าที่ของคนกลุ่มนี้คือการปกป้องพิทักษ์ผืนป่าจากไฟป่า หนังจะพาคนดูไปสำรวจว่า อะไรทำดึงดูดให้พวกเขาออกไปเผชิญหน้ากับเพลิงไหม้ อะไรคือสาเหตุให้พวกเขาเลือกงานนี้ ทำไมพวกเขาต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงทุกวันเพื่อปกป้องคนอื่นทุกวัน เพื่อช่วยเหลือสังคม เพื่อรักษาวิถีชีวิตของทุกคนเอาไว้ และหนังเรื่องนี้จะเข้าไปสำรวจเบื้องลึกเลยว่าทำไมพวกเขาถึงทำในสิ่งที่พวกเขาทำ มันเป็นเรื่องตัวตนและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของคนในทีม
3.จากเรื่องจริงสู่ บทความ ก่อนกลายเป็นภาพยนตร์
หนังมีต้นกำเนิดจากบทความในนิตยสาร GQ เรื่อง “ไร้ทางออก” ที่เขียนขึ้นโดย ฌอน ฟลินน์ โปรดิวเซอร์ ดอว์น ออสทรอฟ และ เจเรมี่ สเต็กเลอร์ จาก Condé Nast Entertainment พบว่าเรื่องราวในบทความเหมาะแก่การสร้างเป็นหนังอย่างมาก จึงเริ่มต้นพัฒนาโปรเจคต์ทันที พวกเขาทำงานกับผู้กำกับ โจเซฟ โคซินสกี้ และผู้เขียนบท เคน โนแลน
4.อะไรคือ Hotshot
นักดูหนังจำนวนมากคงไม่คุ้นกับคำว่า “Hotshot” ในหนังเรื่องนี้ได้อธิบายเอาไว้ว่ามันเป็นยศที่มีเกียรติและมีความพิเศษ Hotshot หมายถึงนักผจญเพลิงขั้นเทพของประเทศ เปรียบได้กับหน่วยซีล (Navy SEAL) ของวงการดับเพลิง วิธีการรับมือกับไฟของพวกเขาแตกต่างกับที่คนส่วนใหญ่คิด พวกเขาไม่แบกถังน้ำ พวกเขาสู้กับไฟด้วยไฟ โดยอาศัยการขุดแนวยาวแล้วตัดต้นไม้เพื่อพยายามจะสร้างเส้นสะกัดไฟ พวกเขาจุดไฟเผามันเพื่อไม่ให้เหลือเชื้อเพลิงให้ไฟป่าลุกลาม
5.เรื่องราวที่ผู้คนไม่เคยรับรู้
ผู้คนส่วนมากจะจำเหตุการณ์ที่หน่วย Granite Mountain Hotshots ต้องเผชิญหน้ากับไฟนรกแห่งเนินยาร์เนล (Yarnell Hill fire) ในปี 2013 ได้ แต่ชีวิตของคนในกลุ่มจำนวน 20 คนกลับไม่เคยถูกเผยแพร่ เป็นเรื่องราวที่สมควรได้รับการตีแผ่ แต่ไม่มีทีมฮอตชอตคนไหนต้องการเรียกร้องความสนใจเป็นพิเศษ คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่า Hotshot คืออะไร คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ และนั่นแหละคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ
พวกเขาไม่ต้องการเป็นจุดสนใจ มุ่งมั่นทำงานหนัก และสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนสมาชิกก็เท่านั้น ทุกคนที่มีส่วนร่วมในหนังต่างก็มีเหตุผลของตัวเองว่าทำไมพวกเขาถึงอยากมาร่วมด้วย พวกเขาทั้ง 20 คนมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ทั้งหมดเชื่อมด้วยสายใยแห่งความผูกพัน เรื่องราวในหนังจะโฟกัสไปที่ชีวิตส่วนตัวของพวกเขา, เรื่องราวว่าทีมนี้มารวมตัวกันได้ยังไง มิตรภาพของพวกเขาพัฒนาขึ้นมาได้ยังไง เราจะมอง Only the Brave เป็นหนังสงครามก็ได้ แต่เป็นสงครามระหว่างคนกับพลังธรรมชาติ ผมพบว่านั่นคือมุมมองที่สดใหม่ในการตีความคำว่าฮีโร่
6.นักแสดงดีกรีเข้าชิงรางวัลออสการ์
สำหรับบท อีริค มาร์ช นักผจญเพลิงหัวหน้าใหญ่ของกลุ่ม บทนี้ตกเป็นของ จอช โบรลิน นักแสดงผู้เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตัวจอช โบรลินในสมัยอายุ 20 ปี เขาเคยทำงานเป็นดับเพลิงอยู่ 3 ปีร่วมกับหน่วยดับเพลิงอาสารัฐอาริโซน่า ระหว่างที่ได้อ่านบทเขาชอบวิธีการถ่ายทอดเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างชายในกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครของเขา และ เบรนแดน แมคดาน่าห์ ของนักแสดงอย่าง ไมล์ส เทลเลอร์ อีกหนึ่งนักแสดงน่าจับตามอง โดยเขาชื่นชมการแสดงถึงความสามัคคีในหนัง “ถ้าผมแตกแถว หรือทำงานได้ไม่ดี หรือไม่ทุ่มเทให้เต็มที่ มันจะยิ่งเป็นภาระต่อคนที่อยู่ข้างหลัง งานแบบนี้จะคัดเอาคนที่มีทัศคติเห็นแก่ตัวออกไป สิ่งที่คุณต้องทำ คือทำเพื่อคนที่อยู่ข้างๆ คุณ ไม่ใช่ทำเพื่อตนเอง”
7.ถ่ายทำจากสถานที่จริงและฉากไฟไหม้สุดโหด
หนังถ่ายทำในสถานที่ประเภทเดียวกันกับที่หน่วย Granite Mountain Hotshots ปฏิบัติหน้าที่จริงๆ ในช่วง 4 อาทิตย์แรกนั้นทุกคนต้องเผชิญกับสถานที่ถ่ายทำที่โหดหินที่สุด รวมถึงต้องปีนเขาซึ่งต้องใช้กำลังอย่างมหาศาล
หนังเริ่มต้นถ่ายทำอาทิตย์แรกที่หมู่บ้านอินเดียนแดงบนภูเขาแซงเกร เดอคริสโต ทางตอนเหนือของ ซานตาเฟ่ ที่นี่ทีมงานถ่ายฉากการฝึกอันยากลำบากซึ่งถูกวางให้เป็นฉากที่เกิดขึ้นในอุทยานแห่งชาติเมืองเพรสค็อตต์ เช่นเดียวกันกับฉากที่หน่วย Granite Mountain Hotshot ต้องไปผจญเพลิงที่ทะเลสาบในรัฐมิชิแกน
ใน Only the Brave มีไฟป่าจำนวน 5 ที่ด้วยกัน ได้แก่ ที่เมืองเคฟครีก รัฐอาริโซน่า, ที่ภูเขาชิริคาฮัว อาริโซน่า, ที่แกรนด์คอนยอน, ที่เมืองโดซ แถบนอกเมืองเพรสค็อตต์ และที่เนินเขายาร์เนล ทางตอนใต้ของเพรสค็อตต์ สำหรับฉากเพลิงไหม้ในเรื่องคือส่วนผสมของไฟจริงๆ ไฟเทคนิคพิเศษและมีบางส่วนที่ต้องใช้ซีจีสำหรับสร้างไฟขึ้นด้วย
การถ่ายทอดฉากไฟป่าให้ดูสมจริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถือเป็นสิ่งที่ผู้กำกับให้ความสำคัญอย่างมาก ในระห่างขั้นตอนเตรียมงานสร้าง เขาทำงานกับหน่วยงานไฟป่าจริงๆ เพื่อที่จะวางแผนว่าจะถ่ายทำฉากควบคุมเพลิงได้อย่างไร โดยพวกเขาถ่ายทำกันในช่วงเจ้าหน้าที่จะจุดไฟป่าขึ้นมาโดยตั้งใจในวงแคบๆ ที่ควบคุมได้เพื่อลดจำนวนความหนาแน่นของต้นไม้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่าขึ้นจริงในอนาคต
อัลบั้มภาพ 13 ภาพ