รีวิว Justice League ไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่หนังที่แย่ (แบบที่เค้าว่าๆกัน)
บางทีบรรดาหนังของค่าย DC COMICS ก็น่าสงสารกว่าหนังค่าย Marvel อยู่เหมือนกัน เพราะทุกครั้ง (หลังจากการเริ่มต้นรวมจักรวาล DC) บรรดานักวิจารณ์หรือผู้ชมก็มัวจะมาตั้งป้อมเป็นกังวลกันอยู่แต่เรื่องคะแนนและเกรดภาพรวมของหนังค่ายนี้เสียจนหลงลืมไปว่า บางครั้งการดูหนังสักเรื่องก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหมกมุ่นอยู่กับตัวเลขเพียงอย่างเดียวเสมอไป หลายครั้งหนัง DC ก็มีสไตล์ มีวิธีการเล่าเรื่องราว หรือ “เอกลักษณ์” ของตัวละครที่หนังค่ายอื่นๆไม่มีเช่นกัน ดังนั้นการเปรียบเทียบหนังด้วยการตัดเกรด หรือ ให้ตัวเลขเพียงอย่างเดียว รวมไปถึงการบลัฟกันระหว่างค่าย ก็ดูว่าจะไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่ เช่นเดียวกันกับกรณีที่เกิดขึ้นกับหนังรวมฮีโร่ของค่ายดีซีอย่าง Justice League
ก่อนหน้านี้ DC อาจจะเริ่มต้นการรวมจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ของตัวเองผ่านหนังอย่าง Batman v Superman: Dawn of Justice มาแล้ว แถมยังเป็นการเปิดตัวซูเปอร์ฮีโร่หญิงอย่าง Wonder Woman ได้อย่างงดงาม แต่ก็น่าเสียดายที่ภาพรวมของหนังนั้นยังไม่เป็นเนื้อเดียวกัน และแน่นอนว่าการตัดต่อของหนังก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติจนนักวิจารณ์และผู้ชมสวดกันยับเยิน
ด้วยเหตุผลที่โครงสร้างของหนังซูเปอร์ฮีโร่ค่าย DC อาจจะไม่ได้แข็งแรงแบบของ Marvel ที่เริ่มสร้างหนังอย่างต่อเนื่องและ “ล่วงหน้า” มาด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกว่า อีกทั้งความพยายามปรับโทนและสไตล์ของหนังอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงการเปลี่ยนตัวผู้กำกับกลางคันทำให้หนังหลายเรื่องของจักรวาล DC ไม่เป็นเนื้อเดียวกันสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามในปีนี้ Wonder Woman ผลงานการกำกับของแพตตี้ เจนกินส์ นั้นทำออกมาได้น่าพอใจมาก และเป็นการเปิดตัวหนังซูเปอร์ฮีโร่หญิงของค่ายนี้ได้อย่างงดงาม
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Justice League นั้นคือหนังภาคนี้ใช้วิธีการเล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว ภายใต้เวลา 2 ชั่วโมง พร้อมกับบรรดาตัวละครใหม่ที่ยังไม่มีโอกาสปรากฏตัวในจักรวาลนี้ทั้งไซบอร์ก อควาแมน เดอะแฟลช หรือกระทั่งตัวร้ายของเรื่องอย่างสตีเฟ่น วูลฟ์ ผู้ชมจึงไม่มีโอกาสทำความรู้จักกับพวกเขามากนัก แต่ด้วยคาแรกเตอร์ที่มีความโดดเด่น เกื้อหนุนด้วยการแสดงที่โดดเด่น ทำให้ตัวละครใหม่เหล่านี้เป็นที่จดจำของผู้ชมได้ทันที
ข้อดีของ Justice League คือการใส่ฉากต่อสู้ การเดินเรื่องไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วฉับไว การตัดต่อที่กระโดดข้ามไปยังเหตุการณ์ต่างๆ จนอาจจะทำให้คนดูรู้สึกว่าหนังถูกแบ่งออกเป็นฉากๆจากกันและกันอย่างเอกเทศไม่ต่อเนื่อง (โดยเฉพาะบรรดาซีนที่ตัวละครคุยกัน) อีกทั้งหนังภาคนี้ก็ไม่ได้พยายามพูดถึงเรื่องราวในมุมกว้างสักเท่าไหร่ (ไม่ได้พูดถึงผลกระทบของฮีโร่ ตัวร้าย และมวลมนุษย์) เพราะหนังโฟกัสอยู่แค่ทีมจัสติกและกลุ่มชุมชนเล็กๆที่อยู่ใกล้กับสถานที่ที่สตีเฟ่น วูลฟ์ซ่องสุมกำลัง เสียมากกว่า
การที่หนังโฟกัสในมุมมองที่เล็กลงช่วยให้คนดูสามารถจดจ่ออยู่กับเรื่องราวได้ดี สนุกไปกับหนัง และแน่นอนว่า Justice League นั้นค่อนข้างเป็นหนัง “บันเทิง” ที่ “เบาบาง” เรื่องประเด็นแวดล้อม เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆที่ผ่านมาในจักรวาลของตัวเอง แต่นี่อาจจะเป็นข้อดีที่สุดประการหนึ่งของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้
น่าเสียดายที่หนังอาจจะเต็มไปด้วยรอยแผลตลอดทาง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าหากคุณต้องการหนังฮีโร่บันเทิงๆความยาวกำลังพอดีและไม่ต้องคิดอะไรให้หนักสมองนัก Justice League คือหนังเรื่องนั้นอย่างแน่นอน
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ