Die Tomorrow หนังส่วนตัวก่อนตาย สไตล์บิดาแห่งฮิปสเตอร์ เต๋อ นวพล
การกลับมาอีกครั้งของเจ้าพ่อหนังอินดี้ที่มีสาวกฮิปสเตอร์ติดตามมากที่สุด (น่าจะ) ในประเทศ อย่าง เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ หลังจากไปปล่อยของในค่ายหนังแมสอย่าง GTH มาเมื่อ 2 ปีก่อนกับ Freelance ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ รอบนี้นอกจากจะเป็นหนังที่หาทุนตามสไตล์หนังอิสระ และร่วมงานกับผู้กำกับภาพอย่าง นิรมล รอสส์ อีกครั้งหลังจากฟรีแลนซ์ฯ นี่ยังรวมถึงการร่วมงานกับศิลปินนักแต่งเพลงอย่างวง Plastic Plastic เป็นครั้งแรกแล้ว ยังเป็นงานที่พี่เต๋อเรียกว่า หนังส่วนตัว มากที่สุดตั้งแต่เคยทำมาเลย เพราะเป็นงานที่ทำมาสนองโจทย์ตัวเองว่า ถ้าพรุ่งนี้ตาย นี่จะเป็นหนังที่เขาภูมิใจและรักที่สุด
งานนี้เลยได้ทีมงานและดาราที่เคยร่วมงานกับเขามาคับคั่งเลย คือโคตรคุ้มคนดู ทั้ง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์, จูนจูน-พัชชา พูนพิริยะ , ทู-สิราษฎร์ อินทรโชติ, พลอย-รัตนรัตน์ เอื้อทวีกุล, ต้นหลิว-มรกต หลิว, พาย-กัญญภัค วุธรา (นักร้องนำวง My Life as Ali Thomas), ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง, วี-วิโอเลต วอเทียร์, ทราย-กรมิษฐ์ วัชรเสถียร, เมโกะ-ชนนิกานต์ เนตรจุ้ย, เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ กับอีก หนึ่งตัวละครลับที่มาได้แบบเหนือชั้นคือมานอนเล่น 55 เรียกว่าไม่หวาดไม่ไหวจะจำ ถ้าเป็นหนังสตูดิโอใหญ่ นี่ต้องระดับ Love Actually แล้วล่ะ
หนังเล่าคอนเซ็ปต์ของความตายในมุมแบบเต๋อ ๆ ได้น่าสนใจ ตามสโลแกนหนังที่บอกว่า ก่อนวันที่เราตายมักจะเป็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง โดยหนังเล่าแบ่งเป็น 2 ส่วนการนำเสนอ ส่วนแรกเป็นงานการแสดงแบบ Fiction จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์หนึ่งวันก่อนเกิดเหตุของคนแต่ละกลุ่ม โดยเอาเหล่าเหตุการณ์ตายประหลาดที่เป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์มาแต่งเติมเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเรื่องราว ซึ่งหลาย ๆ ตอนมีความน่าสนใจแบบต้องลุ้นเลยว่าชะตากรรมตัวละครจะเป็นอย่างไร บางตอนก็ชวนหดหู่ บางตอนก็ชวนให้คิด และบางตอนก็ไม่มีอะไร
โดยก่อนหรือหลังของแต่ละตอนจะมีข่าว ที่เขียนคล้ายบทภาพยนตร์ ให้เราอ่าน ตรงนี้ต้องตั้งใจตามนิดหนึ่ง เพราะมันจะส่งผลตรงกับตัวละครในแต่ละตอนนั้น ๆ โดยชื่อของแต่ละตอนนั้นก็มีปรากฏบนโปสเตอร์หนัง ใครจะไปเก็บแบบละเอียดก็ดูชื่อตอนอาจจะเก็ตสารบางอย่างมากขึ้นด้วย
แต่มันก็ช่วยทิ้งก้อนความคิดบางอย่างไว้ เช่นว่า คนเราจะตายตอนไหนก็ได้ จะเป็นใครก็ได้ จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ได้ ซึ่งเป็นธรรมชาติความตายที่เราพบเจอทุกวัน หากแต่เราอาจลืมรู้สึกถึงมันไป หนังเหมือนตัวกระตุ้นให้เราลองทบทวนถึงมันเท่านั้นเอง
อีกส่วนที่ไม่ใช่พาร์ทนักแสดงจะเป็นงานแบบ Non-fiction อย่างสารคดี มีสัมภาษณ์ มีใช้ฟุตเทจเก่า ประกอบ ซึ่งเต๋อเคยลองมาในงานอย่าง The Master สารคดีพี่แว่นวิดีโอได้อย่างโคตรสนุกมาแล้ว ดังนั้นรับรองว่าถึงจะมาพาร์ทสารคดีมันก็ไม่น่าเบื่อเลย โดยเฉพาะกิมมิกที่เต๋อใส่ไว้แต่ต้นเรื่องว่าทุก 1 วินาทีจะมีคนตาย 2 คน แล้วหนังก็ใส่ไทม์โค้ดที่บอกเวลาที่ผ่านไปของหนัง พร้อมกับตัวนับยอดคนตายตลอดเวลาที่หนังดำเนินไป
จึงต้องมองว่านี่เป็นหนังสั้นหลากแนวที่ถูกเรียงร้อยไว้ใต้หัวข้อความตาย ใช้กลวิธีต่าง ๆ เล่าเรื่อง จะจัดว่าเป็นหนังทดลองน่าจะใกล้เคียงที่สุด ส่วนถามว่าความป๊อปและกวนตีนแบบเต๋อที่เคยใส่ไว้ในงานก่อน ๆ นั้น ก็ยังมีอยู่เช่นเคย เพียงแต่เหมือนคนที่แก่ขึ้นแล้วเล่าอะไรอย่างไตร่ตรองมากขึ้น ช้าลง จนบางจังหวะเหมือนหยุดเล่า แต่ก็เป็นช่วงหยุดเพื่อคิด ดูแล้วเรารู้สึกว่าพี่เต๋อไม่ใช่หนุ่มคนที่ทำ Mary is happy, Mary is happy อีกแล้ว แต่เป็นหนุ่มใหญ่ที่เล่าอะไรแบบตลกร้าย หึหึ แทน
แฟนคลับเดิมของเต๋อน่าจะได้เห็นอะไรที่หลากหลายขึ้นในตัวพี่เต๋อ ส่วนใครที่อยากลองฮิปสเตอร์สักครั้ง นี่เป็นฮิปสเตอร์แบบปรัชญาที่มีบรรยากาศคลุมเศร้าทั้งเรื่อง ก็เป็นรสแบบผู้ใหญ่ๆ หน่อย ก็สนุกไปอีกแบบครับ
หนังเข้าฉายตั้งแต่ 23 พฤศจิกายนนี้ไปแบบจำกัดโรงเฉพาะเครือ SF บางสาขา (มีต่างจังหวัดด้วยนะ เย้) ก่อนจะไปชมลองเช็กโรงที่ฉายก่อนนะ
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ