รีวิว MURDER ON THE ORIENT EXPRESS เล่นใหญ่ไปไหมพี่
ถึงแม้ว่านวนิยายของอกาธา คริสตี้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นนิยายที่ว่าด้วยเหตุฆาตกรรมซึ่งเกิดขึ้นในสถานที่แห่งหนึ่ง และมีตัวละครอยู่รวมกันเป็นจำนวนหนึ่ง แน่นอนว่าเมื่อมีฆาตกร ก็ต้องมีเหยื่อ และอีกหนึ่งตัวละครที่จะช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ก็คือนักสืบ ผู้พิสูจน์ความจริงของเหตุการณ์ทั้งหมด
MURDER ON THE ORIENT EXPRESS เป็นอีกหนึ่งตอนของอกาธา คริสตี้ ที่มีความพิเศษมากในเชิงพล็อตเรื่องและเหนืออื่นใดคือการคลี่คลายบทสรุปที่เหนือความคาดหมายของคนอ่าน (และผู้ชม)
หนังเปิดเรื่องราวมาที่ตัวละครนักสืบ แอร์กลู ปัวโรต์ (เคนเนธ บรานาห์) ที่เสร็จสิ้นการสืบคดีและต้องการพักร้อนเสียเต็มแก่ เนื่องจากการทำงานอย่างต่อเนื่องยาวนานและไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดสักที การเดินทางด้วยรถไฟสายยุโรปอันแสนหรูหรา เป็นการอุปการคุณจากเพื่อนสนิทของเขาให้ร่วมเดินทางไปบนรถไฟขบวนนี้ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อบรรดาผู้โดยสารผู้ร่ำรวยมากหน้าหลายตาเริ่มเกิดการไม่ชอบขี้หน้ากัน แถมต่างคนก็ดูเหมือนจะซุกซ่อนความลับของตนไว้ไม่อยากให้ใครล่วงรู้ จนกระทั่งเศรษฐีคนหนึ่งถูกฆาตกรรมอย่างโหดร้ายทารุณ ใครสักคนบนรถไฟขบวนนี้คือมือสังหาร แต่ระหว่างสืบคดีปัวโรต์ก็เหมือนจะต้องพบกับปมของคดีที่เหมือนจะหาความเชื่อมโยงไม่ได้
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียอรรถรสในการรับชม อยากจะให้ข้ามในส่วนนี้ไปในกรณีที่ยังไม่เคยดูหนัง หรือเคยอ่านนิยายมาก่อน
สิ่งที่ทำให้ MURDER ON THE ORIENT EXPRESS กลายเป็นตอนหนึ่งในนวนิยายของอกาธา ที่ได้รับการจดจำ สืบเนื่องมาจากจุดเฉลยความจริงทั้งหมดที่กลายเป็นว่าผู้โดยสารบนขบวนรถไฟนี้ คือผู้สมรู้ร่วมคิดในการฆาตกรรม เหยื่อเพียงคนเดียว เพียงเพราะพวกเขามีความเชื่อมโยงกันและต้องการล้างแค้นร่วมกัน โดยแต่ละคนนั้นต่างก็รับบทบาทและหน้าที่ของตนเอง เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มีพิรุธ หรือคงค้างหลักฐานที่จะทำให้สืบไปถึงต้นตอได้
แต่ถึงแม้ว่าตัววรรณกรรมจะมีการเฉลยปมที่พลิกความคาดหมายของคนอ่าน (หรือในเวอร์ชั่นหนังที่พลิกความคาดหมายของผู้ชม แต่ด้วยสไตล์การกำกับที่ยุ่งเหยิง ของเคนเนธ บรานาห์ ที่เหมือนพยายามจะสร้างตัวละครปัวโรต์ ให้กลายเป็นตัวละครที่รักของผู้ชมด้วยการใส่คาแรกเตอร์ ชายวัยกลางคนมีความเนี้ยบ ติดอารมณ์ขันร้ายๆ ลงไป แต่ด้วยวิธีการกำกับตัวละครแวดล้อมให้ดูไม่จริงจังอย่างที่ควรจะเป็น และยิ่งไปกว่านั้นบรรดาผู้โดยสารในเรื่องก็ดูแล้วแบนราบไม่ค่อยเป็นมนุษย์ อีกทั้งการดีไซน์ฉากและโปรดักชั่นโดยรวมของหนัง กลับให้อารมณ์ความรู้สึกแบบหนังสำหรับครอบครัวอย่าง Harry Potter ต้องขึ้นรถไฟที่ชานชาลา 9 เศษ 3 ส่วน 4 เพื่อเดินทางไปฮอกวอตส์ชอบกล
เหตุผลข้างต้น ยิ่งทำให้ฉากเฉลยความจริงในตอนท้ายเรื่อง กลายเป็นความล้น “เล่นใหญ่” จนทำให้หนังดูเป็นละครเวที มากกว่าจะมีสภาพเป็นหนังเลยทีเดียว
อัลบั้มภาพ 6 ภาพ