รีวิว Pitch Perfect 3 ชมรมเสียงใสถือไมค์ตามฝัน 3
หลังผจญความโหดร้ายของชีวิตหลังเรียนจบเหล่าสาวๆ บาร์เดนเบลลาจึงหาทางกลับมาร้องเพลงร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย ในทัวร์เพื่อสร้างความบันเทิงให้กองทัพสหรัฐในต่างแดน และยังเป็นการแข่งโชว์ความสามารถให้ดีเจคาเลด เห็นแววท่ามกลางคู่แข่งโหดหินทั้งวงร็อคหญิงล้วน วงฮิพฮอพ และวงคันทรี่ที่ต่างก็มีเครื่องดนตรีเป็นของตนเอง งานนี้เหล่าบาร์เดนเบลลาต้องประสานเสียงอีกครั้งบนเวทีล่าฝันเวทีสุดท้ายของพวกเธอ
มีทุกอย่างที่คุ้นเคยแต่ไม่ว้าวเท่าที่ควร
ตัวหนัง Pitch Perfect 3 ยังคงมีทุกอย่างเหมือนหนัง 2 ภาคแรกทั้งการคัฟเวอร์เพลงดังมาเป็นฉบับอะแคพเพลา ฉากดวลเพลงหรือ ริปออฟ (Rip-Off) ไล่ไปถึงการแข่งขันกับคู่แข่งที่เหนือกว่า แต่ปัญหาของหนังคือสิ่งที่คุ้นเคยเหล่านี้มันเคยถูกนำเสนอได้ดีกว่าและแตกต่างในหนัง 2 ภาคแรกมาแล้ว ตั้งแต่ Pitch Perfect (2012) งานกำกับของ เจสัน มัวร์ ที่แนะนำตัวละครเหล่าสาวๆ วงประสานเสียงสุดห่ามฮาหลากเชื้อชาติหลายไซส์ที่รวมตัวกันแล้วสร้างความสนุกสนานมากมายและทำให้ แอนนา เคนดริค ได้โชว์เสียงร้องทรงพลังฉายเสน่ห์สาวตัวเล็กที่พร้อมทำให้หนุ่มๆ หลงรักจนมีหนังเพลงให้เธอเล่นอีกเพียบ
และยังมีฉากดวลเพลง ณ. สระน้ำร้างที่มีเพลงเจ๋งๆ ถูกนำมาคัฟเวอร์ใหม่มากมายสร้างความประทับใจให้คนดู และในภาคต่ออย่าง Pitch Perfect 2 ตัวหนังก็นำ ดา ซาวด์แมชชีน คู่แข่งวงอะแคพเพลาจากเยอรมันมาทดสอบความกล้าของพวกเธอ โดยโปรดักชั่นถูกยกระดับความอลังการเป็นเท่าตัวแถมยังเป็นงานกำกับของนักแสดงสาวที่ร่วมแสดงในเรื่องอย่าง เอลิซาเบธ แบงค์ ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก
มาถึงภาคสามตัวหนังใช้บริการผู้กำกับมิวสิควีดีโอของวงโอเคโกที่ขึ้นชื่อเรื่องความคิดสร้างสรรค์อย่าง ทริช ซี (Trish Sie) ซึ่งเคยมีงานกำกับหนังเต้นอย่าง Step Up All In (2014) เป็นเครดิตหนังใหญ่เรื่องเดียวก่อนหน้านี้ ซึ่งสิ่งที่ต้องชื่นชมคือการออกแบบงานภาพโดยเฉพาะฉากร้องอะแคพเพลาเพลง Toxic ของบริทนีย์ สเปียร์ ที่นำเนื้อหามิวสิควีดีโอต้นฉบับมาล้อกับสถานการณ์ในเรื่องได้อย่างสนุกสนาน
แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะอุดรูรั่วหลายจุดของหนัง โดยเฉพาะบทหนังที่แทบไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว้าวกับสิ่งที่หนังนำเสนอเท่าที่ควร ทั้งฉากดวลเพลงที่คราวนี้การเริ่มต้นของสถานการณ์กลับกลายเป็นเหล่าสาวๆ บาร์เดน เบลลา ไปท้าดวลนักดนตรี โดยลำพังเพลงที่พวกเธอใช้ก็ไม่ได้ติดหูอยู่แล้ว แถมถูกตอกกลับมาด้วยเพลงคัฟเวอร์ที่ดนตรีและการร้องแทบไม่ต่างจากเพลงต้นฉบับนัก เลยทำให้ฉากที่เคยสร้างความว้าวในหนังภาคก่อนๆ กลับดูจืดชืดอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนฉากวินาศสันตะโรต่างๆ ก็ดูน้อยลงจนต้องเพิ่มประเด็นพ่อของแฟตเอมี่ที่แสดงโดย จอห์น ลิธกาวด์ จากซีรีส์ The Crown เข้ามาเพื่อเพิ่มบททดสอบด้านมิตรภาพและนำไปสู่ฉากแอ็คชั่นท้ายเรื่อง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เหล่าแฟนหนังชุดนี้ได้ประทับใจการอำลาเวทีของพวกเธอให้สมการรอคอยเท่าใดนัก
เนื้อหาหนังที่ราบเรียบและปราศจากความประทับใจใดๆ
สิ่งที่คนดูประทับใจสำหรับ Pitch Perfect คือการนำเสนอเรื่องราวของเพื่อนทั้งการเรียนรู้ที่จะ “ประสาน” ทั้งเสียงและหัวใจกันในหนังภาคแรก และการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อก้าวต่อไปในภาคสอง สำหรับภาคสาม แม้หนังจะเริ่มด้วยโจทย์ที่น่าสนใจอย่างการกลับมาหาคุณค่าของตัวเองอีกครั้ง จากการร่วมกันโชว์ครั้งสุดท้าย แต่หนังก็เดินหน้าแบบสะดุดขาตัวเองทุกช่วง ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอความล้มเหลวของแต่ละคนที่ถูกสรุปแบบแฮปปี้เอนดิ้งอย่างง่ายดายในตอนท้ายเรื่อง
และที่แย่ไปกว่านั้นไปๆมาๆ ตัวหนังกลับไม่ได้นำเสนอความร่วมมือร่วมใจแบบหนังสองภาคก่อนอันเป็นธีมหลักของการร้องอะแคพเพลา แต่กลับออกทะเลทำเป็นหนังแอ็คชั่นด้วยการเพิ่มตัวละครพ่อของเอมี่และท้ายที่สุดก็กลายเป็นบทสรุปชีวิตให้แค่ตัวละคร เบคก้า ที่ประสบความสำเร็จอย่างง่ายดายเกินไป ซึ่งกลายเป็นว่าผู้สร้างกลับหลงลืมจิตวิญญาณของหนังชุดนี้ ทั้งการต่อกรกับความกลัวจากความเหนือกว่าที่ภาคหน้าให้สาวๆ ต่อกรกับนักดนตรีที่ไม่ต่างจากการออกรบด้วยมือเปล่า ท่ามกลางศัตรูที่มียุทโธปกรณ์ครบมือ
หรือการร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาฝีมือของวงเพื่อชัยชนะร่วมกัน ซึ่งหนังกลับเสียเวลาไปกับการเล่นมุกโลมเลียทหารที่ไม่ได้น่าประทับใจสักนิด เลยทำให้ Pitch Perfect 3 ไม่ได้เป็นการอำลาที่น่าประทับใจสำหรับแฟนๆ เท่าที่ควร
เพลงคัฟเวอร์ของสาวๆ ที่ดรอปลง
หากเรามอง Pitch Perfect ในฐานะหนังเพลงที่ทำให้เราได้ฟังเพลงคัฟเวอร์ดีๆ อย่างการนำเพลงของบรูโน่ มาร์ส กับเนลลี่มามิกซ์กันจนได้ Just the way you are/Just a dream ฉบับอะแคพเพลาใน Pitch Perfect (2012) หรือเพลง My Songs Know What You Did In The Dark ของฟอลเอาต์บอยที่ให้ ดาซาวด์แมชชีนนำมาประสานเสียงใน Pitch Perfect 2 (2015) ก็ต้องบอกว่าในภาคที่ 3 งานเพลงก็เหมือนจะด้อยคุณภาพลงไปพอสมควร
เพราะนอกจากเพลงเด่นอย่าง Toxic ของบริทนีย์ สเปียร์แล้ว ส่วนเพลงอื่นๆ อย่าง Cake By The Ocean ของวง ดีเอ็นซีอี และ Cheap T้hrill ของเซีย แม้จะถูกนำมาทำเป็นเวอร์ชั่นอะแคพเพลาแต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ามันแตกต่างหรือดีเทียบเท่าเพลงต้นฉบับเหมือนอย่างเพลงคัฟเวอร์ในสองภาคแรกนัก นั้นทำให้ภาพรวมของเพลงที่ถูกนำเสนอในหนังเหมือนบันทึกภาพการแสดงสดที่ไม่ได้เสริมเนื้อหาของเรื่องเหมือนหนัง 2 ภาคก่อนหน้าที่ยังประทับใจแฟนๆ หนังชุดนี้
สรุปแล้ว Pitch Perfect 3 เป็นงานปิดไตรภาคที่พอดูได้เพลินๆเท่านั้นเนื่องจากหนังไม่ได้มีความแปลกใหม่หรือใส่ใจที่จะสรุปความสัมพันธ์ของตัวละครที่คนดูรัก ตัวหนังเลยกลายเป็นเวทีล่าฝันเวทีสุดท้ายที่โชว์จบแล้วแยกทางไปอย่างน่าเสียดาย
Pitch Perfect 3 ชมรมเสียงใสถือไมค์ตามฝัน 3 ฉายแล้ววันนี้
อัลบั้มภาพ 6 ภาพ