รีวิว The Cloverfield Paradox ชิ้นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันยุ่งเหยิง

รีวิว The Cloverfield Paradox ชิ้นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันยุ่งเหยิง

รีวิว The Cloverfield Paradox ชิ้นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันยุ่งเหยิง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นอีกหนึ่งจักรวาลภาพยนตร์ที่ “ความลับ” เยอะแยะเต็มไปหมด ตั้งแต่เริ่มต้นในหนังภาคแรกอย่าง Cloverfield ในปี 2008 ที่เปิดกระแสหนังสัตว์ประหลาดกล้องสั่นไหว จนหลายคนเดินออกมาอาเจียนนอกโรงหนัง แต่ความสนุกยิ่งกว่าการดูหนัง คือการทำมาร์เกตติ้งของหนังเรื่องนี้ที่หยิบจับเอา Easter Egg หรือ จุดเชื่อมโยงในจักรวาลเดียวกันซึ่งถูกแอบซ่อนอยู่ในฉากต่างๆ ในเรื่อง จนบรรดาแฟนหนังทำเว็บไซต์แฟนคลับของหนังเรื่องนี้ออกตามกันมาเลยทีเดียว

8 ปีผ่านไปกว่าที่หนังภาคที่เกี่ยวข้อง (เราไม่สามารถเรียกว่าภาคต่อได้เนื่องจากไม่ทราบหนังเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหนของไทม์ไลน์นี้กันแน่) กับ 10 Cloverfield Lane ที่เล่าเรื่องราวฉุกละหุกที่เกิดขึ้นในบังเกอร์หลบภัยใต้ดิน ก่อนที่นางเอกของเรื่องจะหนีรอดออกมาและค้นพบความจริงเกี่ยวกับเอเลี่ยนที่น่าตื่นตระหนก

และในปี 2018 จู่ๆ หนังอย่าง The Cloverfield Paradox ก็ถูกนำมาฉายทางออนไลน์สตรีมมิ่งทาง Netflix ซึ่งแหล่งข่าวมีการรายงานว่าจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจักรวาลนี้แต่แรก หากแต่มีการมาถ่ายทำซ่อมและพยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์เพื่อให้สามารถเข้าไปอยู่ในจักรวาลนี้ได้อย่างแนบเนียน

โดย The Cloverfield Paradox บอกเล่าเรื่องราวของสถานีอวกาศนอกโลกที่กำลังทำการทดลองผลิตพลังงานทดแทน เพื่อช่วยให้โลกมนุษย์ที่กำลังจะเกิดสงครามเพราะแย่งชิงพลังงาน แต่เมื่อการทดลองเกิดผิดพลาดและทำให้สถานีอวกาศเกิดการทะลุมิติมายังมิติเสมือนโลกของตัวเอง อันกลายเป็นปรากฏการณ์ PARADOX ที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย และอาจจะกลายเป็นที่มาของสัตว์ประหลาดในหนังภาคแรกด้วยเช่นกัน

สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังภาคนี้ ถ้าหากเราดูแบบไม่ธรรมดาไม่เชื่อมโยงจักรวาล The Cloverfield Paradox ให้บรรยากาศ “อวกาศลึกลับ” แบบเดียวกับหนังอย่าง Event Horizon ซึ่งเหตุการณ์ประหลาด หลังจากที่ยานวาร์ปมาอีกมิติหนึ่ง เราก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครบ้าง เนื่องจากมีสถานการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นอยู่เต็มไปหมด และที่สำคัญอีกประการคือหนังก็ทำให้เราคาดเดาไม่ได้ด้วยว่าตัวละครไหนจะ “มีอันเป็นไป” ก่อนหรือหลัง แต่พอคาดเดาได้เหมือนกันว่าใครจะอยู่รอดเป็นคนสุดท้ายในยานลำนี้ เนื่องจากหนังเปิดเรื่องมาที่ตัวละครตัวหนึ่งชัดเจนมาก

ถ้าถามในแง่ของความแปลกใหม่หรือโดดเด่นสำหรับ The Cloverfield Paradox ค่อนข้างจะเป็นหนังที่ดู “ธรรมดา” เกินไปหน่อยในจักรวาลนี้ แต่ถ้าถามว่าหนังเลวร้ายจนดูไม่ได้หรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าไม่ เพียงแค่เหมือนเป็นหนัง “คั่นเวลา” ที่โผล่เข้ามาเพื่อทำให้มีประเด็นต่างๆ ในจักรวาลนี้มากขึ้นเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตามรอดูภาคต่อไปกับ Overlord ที่กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ช่วงปลายปีนี้ว่าจะเล่าอะไรให้เรา “งง” กับจักรวาลนี้ไปอีก!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook