รีวิว The Cloverfield Paradox ชิ้นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันยุ่งเหยิง
เป็นอีกหนึ่งจักรวาลภาพยนตร์ที่ “ความลับ” เยอะแยะเต็มไปหมด ตั้งแต่เริ่มต้นในหนังภาคแรกอย่าง Cloverfield ในปี 2008 ที่เปิดกระแสหนังสัตว์ประหลาดกล้องสั่นไหว จนหลายคนเดินออกมาอาเจียนนอกโรงหนัง แต่ความสนุกยิ่งกว่าการดูหนัง คือการทำมาร์เกตติ้งของหนังเรื่องนี้ที่หยิบจับเอา Easter Egg หรือ จุดเชื่อมโยงในจักรวาลเดียวกันซึ่งถูกแอบซ่อนอยู่ในฉากต่างๆ ในเรื่อง จนบรรดาแฟนหนังทำเว็บไซต์แฟนคลับของหนังเรื่องนี้ออกตามกันมาเลยทีเดียว
8 ปีผ่านไปกว่าที่หนังภาคที่เกี่ยวข้อง (เราไม่สามารถเรียกว่าภาคต่อได้เนื่องจากไม่ทราบหนังเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหนของไทม์ไลน์นี้กันแน่) กับ 10 Cloverfield Lane ที่เล่าเรื่องราวฉุกละหุกที่เกิดขึ้นในบังเกอร์หลบภัยใต้ดิน ก่อนที่นางเอกของเรื่องจะหนีรอดออกมาและค้นพบความจริงเกี่ยวกับเอเลี่ยนที่น่าตื่นตระหนก
และในปี 2018 จู่ๆ หนังอย่าง The Cloverfield Paradox ก็ถูกนำมาฉายทางออนไลน์สตรีมมิ่งทาง Netflix ซึ่งแหล่งข่าวมีการรายงานว่าจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจักรวาลนี้แต่แรก หากแต่มีการมาถ่ายทำซ่อมและพยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์เพื่อให้สามารถเข้าไปอยู่ในจักรวาลนี้ได้อย่างแนบเนียน
โดย The Cloverfield Paradox บอกเล่าเรื่องราวของสถานีอวกาศนอกโลกที่กำลังทำการทดลองผลิตพลังงานทดแทน เพื่อช่วยให้โลกมนุษย์ที่กำลังจะเกิดสงครามเพราะแย่งชิงพลังงาน แต่เมื่อการทดลองเกิดผิดพลาดและทำให้สถานีอวกาศเกิดการทะลุมิติมายังมิติเสมือนโลกของตัวเอง อันกลายเป็นปรากฏการณ์ PARADOX ที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย และอาจจะกลายเป็นที่มาของสัตว์ประหลาดในหนังภาคแรกด้วยเช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังภาคนี้ ถ้าหากเราดูแบบไม่ธรรมดาไม่เชื่อมโยงจักรวาล The Cloverfield Paradox ให้บรรยากาศ “อวกาศลึกลับ” แบบเดียวกับหนังอย่าง Event Horizon ซึ่งเหตุการณ์ประหลาด หลังจากที่ยานวาร์ปมาอีกมิติหนึ่ง เราก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครบ้าง เนื่องจากมีสถานการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นอยู่เต็มไปหมด และที่สำคัญอีกประการคือหนังก็ทำให้เราคาดเดาไม่ได้ด้วยว่าตัวละครไหนจะ “มีอันเป็นไป” ก่อนหรือหลัง แต่พอคาดเดาได้เหมือนกันว่าใครจะอยู่รอดเป็นคนสุดท้ายในยานลำนี้ เนื่องจากหนังเปิดเรื่องมาที่ตัวละครตัวหนึ่งชัดเจนมาก
ถ้าถามในแง่ของความแปลกใหม่หรือโดดเด่นสำหรับ The Cloverfield Paradox ค่อนข้างจะเป็นหนังที่ดู “ธรรมดา” เกินไปหน่อยในจักรวาลนี้ แต่ถ้าถามว่าหนังเลวร้ายจนดูไม่ได้หรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าไม่ เพียงแค่เหมือนเป็นหนัง “คั่นเวลา” ที่โผล่เข้ามาเพื่อทำให้มีประเด็นต่างๆ ในจักรวาลนี้มากขึ้นเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามรอดูภาคต่อไปกับ Overlord ที่กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ช่วงปลายปีนี้ว่าจะเล่าอะไรให้เรา “งง” กับจักรวาลนี้ไปอีก!