ใครดู RED SPARROW แล้วเหวอหนักมาก ตามมาอ่านทางนี้!
เราเชื่อว่ามีผู้ชมหลายคนที่ไปดูหนัง RED SPARROW ซึ่งนำแสดงโดยสาวเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ คาดหวังว่ามันจะเป็นหนังแอ็คชั่นสายลับหญิงประมาณเดียวกับเจมส์ บอนด์ 007 หรือไม่ก็หนังนักฆ่าสาวอย่าง Atomic Blonde แต่กลายเป็นว่า เมื่อไปดูหนังจริงๆ แล้วกลายเป็นว่า นี่คือหนังสายลับแบบนิ่งๆ นานๆ ทีจะมีฉากแอ็คชั่นมาให้ดูซะที ทำไมถึงเป็นแบบนั้น มาไขข้อข้องใจกันดีกว่า
ชีวิตชายวัยเกษียณกับการเขียนนิยาย
Red Sparrow เป็นวรรณกรรมของเจสัน แมทธิวส์ หลังจากที่เขาสิ้นสุดการทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอหลังจากทำงานมานานสามสิบสามปี เขาพบว่าตัวเองไม่พอใจการอยู่เฉยๆ หลังเกษียณ เนื่องจากมีเวลาเหลือมากมาย แมทธิวส์จึงหันมาทำงานเขียนเป็นอาชีพที่สอง เขารู้สึกต้องปรับตัวเป็นอย่างมากในชีวิตหลังเกษียณ “ถ้าไม่เล่นหุ้น ก็ตกปลา หรือไปเดินเล่น การเขียนหนังสือก็เป็นการบำบัดอย่างหนึ่งเหมือนกิจกรรมอื่นๆ นั่นละครับ” ในฐานะนักอ่านที่ติดตามงานของจอห์น เลอ คาร์เร และเอียน เฟลมมิงมายาวนาน เขาได้เริ่มต้นเขียนนวนิยายเรื่อง Red Sparrow ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในปี 2013 และกลายเป็นหนังสือขายดี รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นของนวนิยายไตรภาค โดยมี Palace of Treason เป็นภาคที่สอง และ The Kremlin’s Candidate กำลังจะตามมาในอนาคต
เรื่องฉาวๆของสาวพันธุ์ร้อน
ฉบับนิยายนั้นเล่าเรื่องราวของโดมินิกา อีโกโรวา ซึ่งในภาพยนตร์รับบทโดยเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ได้ออกจากคณะบัลเล่ต์บอลชอยเนื่องจากอุบัติเหตุทางร่างกายและถูกบังคับให้เข้าโรงเรียนของรัฐที่ฝึกให้เธอใช้เสน่ห์ทางเพศบงการผู้อื่น เพียงเพราะเธอจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อดูแลแม่ที่ป่วยและดูแลตัวเองไม่ได้ ในโรงเรียนสแปร์โรว์คือสถานที่ในการฝึกฝนให้ผู้หญิงสามารถเรียนรู้ศิลปะของการล่อลวง และยั่วยวนเพื่อแบล็คเมลเป้าหมายในงานสายลับ นั่นหญิงสาวจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเป็นผู้ปรนเปรอทางเพศ พวกเธอถูกเรียกว่า ‘สแปร์โรว์’ (นกกระจอก)
ภายหลังจากการฝึกฝนเธอได้รับมอบหมายภารกิจในการ เข้าประชิดตัวเจ้าหน้าที่ซีไอเอ เนท แนช ซึ่งในภาพยนตร์รับบทโดยโจเอล เอ็ดเจอร์ตัน ความโชคร้ายคือระหว่างทำภารกิจทั้งสองกลับตกหลุมรักกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งความรักระหว่างสายลับรัสเซียและอเมริกาก็เหมือนความรักของโรมิโอและจูเลียต ที่จะต้องมีสักฝ่ายเป็นคนเจ็บและกลายเป็นผู้แพ้ (แม้ว่าหนังจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแต่หนังเลือกจะสร้างกลิ่นอายแบบหนังสายลับยุคสงครามเย็นที่ต่อสู้กันด้วยมือเปล่ามากกว่าจะใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย)
ตัวละครโดมินิกา อีโกโรวา ซึ่งมีสไตล์แตกต่างจากเจสัน บอร์น ไม่เหมือนเจมส์ บอนด์ และไม่ใช่ตัวละครแบบเดียวในนิยายของจอห์น เลอคาเรด้วย ตามจริงแล้วโดมินิกาเป็นพลเรือนที่ถูกบังคับให้ร่วมแผนการลับ เธอต้องฝึกฝนการเป็นสายลับเพื่อการอยู่รอดและเพื่อปกป้องแม่ของเธอเสียมากกว่า
นักแสดงและผู้กำกับคู่บุญ
ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ได้รับหนังสือเล่มนี้ขณะกำลังทำงานขั้นตอนสุดท้ายใน The Hunger Games: Mockingjay, Part 2 เขามองเห็นความแปลกใหม่ในแง่ของเรื่องราวสายลับ และตกหลุมรักตัวละครโดมินิกา อีโกโรวา รวมถึงการเดินทาง เรื่องราวส่วนตัว และสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่เธอต้องเผชิญในเรื่องนี้ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์มักสนใจตัวละครที่โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา และเรื่องนี้ก็เน้นไปที่ตัวละครที่โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา
หนังเรื่องนี้ว่าด้วยการเดินทางของตัวละครตัวเดียว เป็นคนที่พบว่าตัวเองถูกบงการด้วยพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเองมาก โดมินิกาได้รับบาดเจ็บและคุณอาของเธอก็ได้ดึงเธอเข้ามาสู่โลกของสายลับ เป็นโลกที่ใช้เสน่ห์ทางเพศเป็นอาวุธโดยเธอถูกฝึกให้ใช้เสน่ห์ยั่วยวนเพื่อบรรลุเป้าหมาย แต่เธอเป็นคนตรงไปตรงมาและซับซ้อนเกินกว่าจะใช้เสน่ห์หลอกล่อผู้อื่น และเธอก็ได้เปลี่ยนกฎเกณฑ์ต่อคนที่บังคับเธอให้เข้ามาสู่โลกใบนี้
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ซึ่งทำงานร่วมกับฟรานซิส ลอว์เรนซ์ใน The Hunger Games: Catching Fire, The Hunger Games: Mockingjay Part 1 และ The Hunger Games: Mockingjay, Part 2 เข้ามาร่วมทีมนักแสดงในบทโดมินิกามาตั้งแต่ช่วงต้นของการทำงาน ตัวผู้กำกับอย่างฟรานซิสรู้ว่า เจน ลอว์ ยังไม่กล้าที่จะเล่นหนังแบบนี้ในตอนที่เธอยังอายุน้อยกว่านี้ การได้พูดคุยกันเป็นระยะเวลานานทำให้เธอสามารถเตรียมตัวและสั่งสมประสบการณ์ทางการแสดง
ในมุมมองของเจน ลอว์ เธอมองว่า โดมินิกาคือนี่เป็นตัวละครและบุคลิกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากบทบาทที่เธอเคยรู้จักมา ตัวละครนี้ถูกบังคับให้ต้องเอาชีวิตรอดตั้งแต่อายุยังน้อย ร่างกายของเธอถูกรัฐบาลใช้มาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นการเต้นบัลเล่ต์ การเป็นนักกีฬา ซึ่งรัฐบาลออกค่าใช้จ่ายให้และจากนั้นเธอก็ถูกบังคับให้เข้าร่วมโครงการสแปร์โรว์
ฉากโรงเรียนสแปร์โรว์น่ากลัวมากสำหรับเจน ลอว์ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะเปลือยกายล่อนจ้อนก็ว่าได้ (ใครได้ดูหนังก็คงตกใจกับฉากแก้ผ้าดังกล่าว) แต่หลังจากที่ได้เล่นแล้วเธอรู้สึกเป็นอิสระมาก เพราะเธอไม่มีทางนำตัวละครเข้าไปสู่สถานการณ์ที่ตัวฉันเองไม่สบายใจที่จะเล่น แต่คนดูจะได้เห็นในหนังว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เธอได้อำนาจมา เป็นจุดที่เธอสามารถพลิกเกมกับคนที่พยายามควบคุมเธอ และเธอก็รู้สึกได้ถึงพลังนั้น โดมินิกาถูกฝึกมาให้ใช้ร่างกาย แต่สุดท้ายแล้วเธอก็เอาชนะได้ด้วยสมอง ตัวละครนี้เป็นนางเอกยุคใหม่ที่มีบุคลิกซับซ้อน เธอทำตามกฎเกณฑ์ของตัวเองและมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จให้ได้
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ