รีวิว Tomb Raider รีบู้ทหนัง แต่รีเมคเกม
Tomb Raider (อ่านว่า ทูมเรเดอร์) ฉบับปี 2018 เป็นการรีบู้ทหรือเริ่มต้นใหม่ของหนังชุดนี้ หลังจากหนังจากเกมนี้ดังเป็นพลุแตกในยุคของ แอนเจลินา โจลี่ ที่สร้างกระแสทูมไรเดอร์นั่นจอใน Lara Croft: Tomb Raider (2001) และได้สานต่อความสำเร็จใน Lara Croft Tomb Raider: The Cradle of Life (2003) แต่ก็สิ้นสุดเพียงเท่านั้นด้วยกระแสการเป็นหนังชิงรางวัลยอดแย่แห่งปี ซึ่งทำให้ค่ายพาราเม้าท์ตัดสินใจยุติการสร้างภาคต่อไว้เพียงเท่านั้น
หลายปีผ่านไปพร้อมข่าวลือการพยายามสร้างหนังภาคใหม่ออกมาหลายครั้งหลายครา จนในที่สุดค่าย วอเนอร์ฯ ก็คว้าชัยจับมือกับ สแควร์อีนิกซ์ เจ้าของลิขสิทธิ์เกมในปัจจุบัน ในการสร้างหนังเรื่องใหม่ใต้ชื่อ Tomb Raider ที่มีฐานแฟนทั่วโลกมากมาย โดยส่วนหนึ่งมาจากความสำเร็จในการรีบู้ทของเวอร์ชั่นเกมตั้งแต่ปี 2013 ที่ใช้ชื่อตรงตัวว่า Tomb Raider และภาคต่อปี 2015 อย่าง Rise of the Tomb Raider มาก่อนเช่นกัน ที่ทำให้งานหนังเห็นแนวทางในการเริ่มต้นมันใหม่อีกครั้งได้ชัดเจน
โดยสำคัญที่สุดคือการเลือก อลิเซีย วิกานเดอร์ ดาราสาวหน้าทรงเสน่ห์ที่เคยมีงานแสดงนำใน Ex Machina (2014) The Danish Girl (2015) และ The Man from U.N.C.L.E. (2015) มารับบทนำ หลังจากปรับลุคแล้วต้องยอมรับ ว่าเป็น ลาร่า ครอฟท์ ที่ดูเข้าท่ามากทีเดียว ทั้งความมีเสน่ห์ และรูปร่างที่แข็งแรงแต่ก็ดูมีความอ่อนแอน่าเอาใจช่วยแบบกำลังพอดี และการได้ลาร่าคนใหม่ในแนวนี้ล่ะ ที่ทำให้คิดว่าหนังมีคุณค่าให้สร้างภาคต่อแน่ๆ
ส่วนเนื้อหาในภาคนี้ก็เช่นเดียวกับตัวเกม หนังทำการรีเมคเกมแบบแทบจะฉากแอคชั่นช็อตต่อช็อตทีเดียว ทั้งหนีตายจากเรือล่ม การกระโดดร่มลงกลางป่า การใช้ธนูต่อสู้ การสู้ตัวต่อตัวแบบรากเลือด ฯลฯ แต่ก็ดัดแปลงส่วนเนื้อเรื่องและตัวละครอื่นๆ เพื่อให้มีมิติขึ้นและสามารถสร้างภาคต่อได้ง่ายขึ้น โดยนำเนื้อหาและตัวละครจากเกมทั้งสองภาคมาเกลาใหม่ให้เป็นเนื้อเดียว และบางส่วนก็เปลี่ยนแบบพลิกเลย
ทั้งหนุ่มคู่ใจชาวจีนอย่าง ลูเร็น (อู๋ เอี้ยนจู่) ที่มาแทนตัวละคร แซม นักสำรวจสาวคู่กายในเกมเพื่อเพิ่มมู้ดความโรแมนติกแบบหนังเวอร์ชั่นเก่า แอนนา (คริสติน สก็อตต์ โธมัส) ที่ในเกมจะโผล่มาในภาค 2 ก็โผล่มาดูแลจัดการเรื่องบริษัทให้ลาร่าตั้งแต่ภาคนี้ ในขณะที่ตัวร้ายยังคงเป็น มาเธียส โวเกิล (วอลตัน ก๊อกกินส์) ที่เปลี่ยนจากตัวร้ายหัวหน้าลัทธิเหนือธรรมชาติที่แฝงมาในกลุ่มนักผจญภัย กลายมาเป็นหัวหน้าทีมนักล่าของกลุ่มไทรนิตี้ องค์กรตัวร้ายที่ได้เผยตัวตนในเกมภาค 2 แทน แล้วตัดตัวละครอื่นๆ ในเกมออกเพื่อเล่าเรื่องได้ง่ายขึ้น ทั้งยังเพิ่มเรื่องราวชะตากรรมของพ่อนางเอก และลดความเป็นไสยศาสตร์เหนือธรรมชาติในเกมลงให้สมจริงขึ้นด้วย
ข้อดีคือหนังดูมีความเป็นเนื้อหนัง มีชีวิต มีความอ่อนแอ น่าเอาใจช่วย มีความน่าเชื่อไม่หลุดเว่อไปในตำนานเหนือธรรมชาติจนหลงทาง ซึ่งสนองตอบต่อการใช้ซีจีที่ดูสมจริงดุดัน ทั้งคลื่นยักษ์ แม่น้ำเชี่ยวกราก และซากศพโบราณ สมที่ได้ผู้กำกับนอร์เวย์จอมซีจีอย่าง รอร์ อาทัก เจ้าของผลงานสึนามิถล่มเมืองใน The Wave (2015) มากำกับ นอกจากนี้การสร้างตัวร้ายอย่าง มาเธียสก็น่าจดจำมากๆ เสียดายว่าหนังไม่ได้ขยี้เรื่องราวของลูกสาวของมาเธียสให้เห็นมุมของพ่อที่ยอมทำชั่วทุกอย่างเพื่อจะได้กลับไปหาลูกสาวตัวเอง ซึ่งคอนทราสต์กับพ่อของลาร่าที่ทิ้งลูกไปเพื่อกอบกู้โลกได้อย่างดี หนังจะดูมีของขึ้นอีกเยอะทีเดียว
และอย่างที่กล่าวจุดดีสุดคือการที่หนังสร้างรากฐานให้ตัวละครลาร่าโฉมใหม่ได้อย่างแข็งแรง แม้เนื้อหาในภาคนี้จะดูไม่ค่อยซับซ้อนออกทื่อๆ บ้าง แต่ก็เพียงพอให้ตัวละครนำเฉิดฉายและทำให้เราอยากดูต่อๆ ไป
ส่วนข้อเสียก็อย่างที่เกริ่นไป คือ หนังรีเมคเกมแทบจะทั้งดุ้นหลายฉาก การเกลาเนื้อหาเกมสองภาคเป็นไอเดียที่ดี แต่ถ้ามองในแง่หนังผจญภัยพล็อตมันก็ดูธรรมดาๆ เกินไป ออกจะเชย และเดาทางง่ายไปเสียด้วย ต้นเรื่องครีเอทดี กลางเรื่องช่วงที่โดนไล่ล่าทำได้ตื่นเต้นสนุกมาก แต่หลังจากนั้นพอลาร่าจับธนูได้ความรู้สึกหนังจะดรอปลงนิดหน่อย แทนที่เราจะรู้สึกลาร่าค่อยๆ แข็งแร่งขึ้น ฉลาดขึ้น คมขึ้นในแง่อารมาณ์ เรากลับรู้สึกหลายอย่างดูถดถอยเสียด้วย ด้านตัวละครยังมีการตัดสินใจที่ดูโง่ๆ ให้ต้องนึกด่าอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่นั่นล่ะพูดในแง่ความสนุกมันก็ดูเพลินทีเดียว และคิดว่าเป็นหนังที่สร้างจากเกมได้สนุกเกมหนึ่ง และขอเชียร์เต็มที่ในการให้หนังมีภาคต่อโดยใช้ อลิเซีย แสดงนำต่อไปครับ