เปิดตัวซีรีส์ “Santa Clarita Diet 2” กับมุมมองชีวิตครอบครัวของ “ดรูว์ แบร์รีมอร์”
สาวกเน็ตฟลิกซ์และคอหนังโรแมนติกคอเมดีน่าจะคุ้นเคยกันดีกับซีรีส์น่ารักปนดาร์กหน่อยๆ อย่าง “Santa Clarita Diet” ที่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวแฮมมอนด์ ได้แก่ คู่สามีภรรยา โจลและชีลา กับแอ็บบี ลูกสาววัยรุ่น ที่เผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ เมื่อคุณแม่ชีลาเป็นโรคร้ายที่มีอาการคล้ายซอมบี้ คือต้องกินเนื้อมนุษย์เท่านั้น ส่งผลให้ทั้งโจลและแอ็บบีต้องผนึกกำลังปิดบังไม่ให้คนอื่นรู้ความลับเรื่องนี้ และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชีลาหายป่วย
ล่าสุด Santa Clarita Diet ก็ได้เดินทางมาถึงซีซันที่ 2 แล้ว และที่พิเศษสุดๆ ก็คือ สองนักแสดงนำจากเรื่องนี้ ได้แก่ ทิโมธี โอลิแฟนท์ ผู้รับบทเป็น โจล แฮมมอนด์ สามีที่ทำหน้าที่พ่อบ้านใจกล้า คอยดูแลภรรยาในทุกย่างก้าวบนวิถีซอมบี้ และดรูว์ แบร์รีมอร์ ที่รับบทเป็นชีลา แฮมมอนด์ ภรรยาและคุณแม่ซอมบี้ ได้เดินทางมาแถลงข่าวเปิดตัว Santa Clarita Diet ซีซัน 2 ที่ประเทศไทยด้วยตัวเองเลยทีเดียว ดังนั้น Sanook! Movie จึงไม่รอช้า รีบคว้าโอกาสนี้เข้าไปพูดคุยกับดรูว์ แบร์รีมอร์ นางเอกของเรื่อง และนักแสดงขวัญใจของชาวไทย ทั้งการทำงาน และสิ่งที่เธอได้รับในซีรีส์เรื่องนี้
ระพีพัฒน์ สิทธิชัยลาภา
หลังจากห่างหายจากจอภาพยนตร์ไปนานหลายปี เพื่อใช้เวลาอยู่กับลูกทั้งสองคนอย่างเต็มที่ ดรูว์ แบร์รีมอร์ หวนคืนวงการอีกครั้ง และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เธอแสดงในซีรีส์ทางโทรทัศน์อีกด้วย โดยเธอเล่าว่า เมื่อได้รับบทมานั้น เธอยังไม่อยากอ่านบททันที แม้ว่าทิโมธีที่รับเล่นไปก่อนจะส่งอีเมลส่วนตัวมาขอร้องให้เธอรับเล่นซีรีส์นี้ก็ตาม
“แต่คืนวันหนึ่ง ฉันลุกขึ้นมาอ่านบท แล้วก็คิดว่า ‘แย่แล้ว’ เพราะฉันชอบบทนี้เข้าแล้ว และภารกิจดูแลครอบครัวของฉันต้องพังแน่ๆ คือมันเป็นความรู้สึกตรงกันข้ามกับตอนนี้เลย ถึงตอนนี้ ฉันก็ยังต้องเป็นแม่ ต้องดูแลครอบครัว ดังนั้น การตัดสินใจที่แย่ที่สุด ณ ตอนนั้น จริงๆ แล้วอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ทำให้คุณมีความสุขที่สุดก็ได้ ฉันตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้ เพราะวิกเตอร์ เฟรสโก ผู้สร้างซีรีส์นี้ อยากให้พวกเราแสดงให้เห็นถึงชีวิตคู่ที่ดี ที่สามีและภรรยาทุ่มสุดตัวเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด ซอมบี้ก็เหมือนอุปสรรคที่เข้ามา และสามีภรรยาทั่วไปก็ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคและทำให้ชีวิตครอบครัวราบรื่น” ดรูว์กล่าว
และไม่ว่าคุณจะจดจำเธอจากเด็กหญิงที่ปั่นจักรยานพร้อมมนุษย์ต่างดาวในตะกร้า หรือหนึ่งในสมาชิกนางฟ้าชาร์ลี บัดนี้ ดรูว์ในวัย 43 ปี ได้เปลี่ยนไปจากในอดีตโดยสิ้นเชิง จากสมัยที่เป็นวัยรุ่น เธอพยายามทำงานทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบที่สุด และมีพลังล้นเหลือในการจัดการปัญหาต่างๆ ทว่าตอนนี้ เป้าหมายของเธอคือการร่วมงานกับทีมงานที่น่ารัก รักครอบครัว และสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับเธอ แต่ในซีซันแรก เธอก็เจอกับภารกิจสุดโหด นั่นคือ “การกินเนื้อมนุษย์”
“มันเหมือนกับแอปเปิลอบแห้ง ยางอะไรสักอย่างที่รสชาติเหมือนจอลลีแบร์ บางครั้งก็เหมือนข้าวหมัก หรือเค้กแฉะๆ ทุกอย่างที่กินเข้าไปก็ไม่รู้ว่าทำจากอะไร และรสชาติแย่มาก ฉันเซอร์ไพรส์กับวัตถุดิบทุกวันค่ะ แต่ไม่มีอันไหนที่ทำให้อยากกลับไปกินอีก แต่ก็ไม่มีปัญหานะ ฉันชอบกินอาหาร และพอจะจินตนาการให้เหมือนตัวเองกำลังกินพิซซ่าได้” ดรูว์กล่าวถึงประสบการณ์สุดระทึกใจเมื่อต้องเข้าฉากกินเนื้อมนุษย์ ซึ่งในซีซันแรกเธอยอมรับว่าเกร็ง และแสดงได้ไม่ดี แต่เมื่อเข้าสู่ซีซันที่ 2 เธอก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น และมั่นใจว่าจะต้องดีกว่าซีซันแรกแน่นอน
นอกจากการรับบทเป็นซอมบี้กินมนุษย์แล้ว จุดเด่นที่หลายคนมักพูดถึงก็คือ “เคมี” ที่เข้ากันได้ดีระหว่างทิโมธีและดรูว์ ซึ่งดรูว์เล่าว่าเป็นเพราะบทที่เขียนมาอย่างดี ทำให้ทั้งคู่แสดงได้เข้าขากัน และไม่มีการด้นสดแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้น ดรูว์ ผู้ซึ่งไม่เคยผ่านงานซีรีส์มาก่อน ยังต้องปรับตัวอยู่บ้าง เนื่องจากเธอต้องอ่านบทใหม่ของตอนใหม่ทุกสัปดาห์ และไม่รู้เลยว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไร ในขณะที่การแสดงภาพยนตร์ต้องอ่านบทให้จบรวดเดียว
“สิ่งที่สนุกที่สุดคือสมดุลระหว่างความบ้าคลั่ง เลือดสาด กับสิ่งที่ซีรีส์ต้องการจะสื่อ ซึ่งเรื่องนี้มีสิ่งสำคัญสำหรับฉันก็คือครอบครัว และเมื่อครอบครัวมีพื้นฐานเป็นความรัก ความอบอุ่น ก็จะเป็นยารักษาชั้นดีสำหรับอาการซอมบี้ที่ไล่ฆ่าคนอื่น” ดรูว์กล่าวถึงความประทับใจที่มีต่อซีรีส์เรื่องนี้ รวมทั้งทีมงานและนักแสดง
“ในฐานะผู้หญิง ฉันอยากทำงานกับคนที่ทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย ทิมเป็นคนใจเย็น น่ารัก เป็นคนดี ส่วนวิกเตอร์ ก็เป็นคนที่รักครอบครัวและใจดี กองถ่ายกองนี้ก็เลยถือว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับฉัน ทำให้ได้ทำงานกับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ และหัวเราะไปด้วยกัน”
“ในภาพยนตร์ การเป็นซอมบี้เป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับชีลา ผู้หญิงอายุ 40 ที่มีลูก มีหน้าที่การงาน แต่สงสัยว่าตัวเองมีชีวิตที่ดีจริงหรือเปล่า ทำให้วันหนึ่งเธอตื่นขึ้นมาและใช้ชีวิตที่ต่างออกไป ชีวิตแต่งงานที่ยาวนาน แต่กลับมีเรื่องบ้าบอเกิดขึ้น ครอบครัวนี้จะรับมืออย่างไร นั่นคือเรื่องราวทั้งหมด เมื่อกลายเป็นซอมบี้ คุณจะหยิบเอาเศษเสี้ยวของชีวิตที่พังลงขึ้นมาอย่างไร และเดินหน้าต่อไปอย่างไร คุณอาจจะร้องไห้หรือคิดหาวิธีการ แต่วันหนึ่งคุณก็ต้องลุกขึ้นมาในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ และสร้างพลังให้ตัวเอง ดังนั้น ถ้าเรื่องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ฉันก็จะคิดถึงสิ่งที่ทำให้ฉันแข็งแกร่ง ซึ่งในซีรีส์นี้ก็มีครอบครัวที่ทำหน้าที่นั้น” ดรูว์กล่าว