สำรวจ 6 ซีรีส์เกี่ยวกับโลกอนาคตที่จะทำให้คุณนั่งไม่ติด
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ทั้งจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่อยู่อาศัย อาหารการกินและชีวิตความเป็นอยู่ เคยสงสัยไหมว่าโลกในอนาคต มนุษย์จะมีความเป็นอยู่อย่างไร วันนี้เราจะพาไปสำรวจโลกอนาคตในจินตนาการจากบรรดาซีรีส์ยอดฮิตทาง Netflix กัน
รูปลักษณ์ของคุณเปลี่ยนได้ราวกับเสื้อผ้าในอัลเทอร์ด คาร์บอน (Altered Carbon)
คุณอาจจะเคยผ่านตาซีรีส์เกี่ยวกับโลกอนาคตมาหลายเรื่อง แต่ซีรีย์ที่สร้างจากนวนิยายนัวร์ไซเบอร์พังก์คลาสสิกของ ริชาร์ด เค. มอร์แกน เรื่องนี้ จะทำให้คุณขบคิดกับมันมากกว่าที่เคย อัลเทอร์ด คาร์บอน (Altered Carbon) พาเราไปสำรวจโลกในปี ค.ศ. 2384 ที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด และเข้ามามีบทบาทหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตมนุษย์มากขึ้น เราจะเห็นโลกอนาคตที่ทุกคนสามารถเปลี่ยนร่างกายของตัวเองได้เหมือนกับเปลี่ยนรองเท้า! และยังเต็มไปด้วยจักรกลที่มีศักยภาพเทียบเท่ามนุษย์ รถลอยในอากาศ ด้วยเหตุนี้มันจึงนำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณค่าพื้นฐาน อิทธิพลของอำนาจเงิน และความสัมพันธ์ในแบบที่ไม่ได้ยึดอยู่กับรูปลักษณ์ของเราอีกต่อไป
ชีวิตคือการต่อสู้ใน 3%
ถ้าคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังที่ตัวเอกต่างต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชีวิต คุณอาจเคยผ่านตาซีรีส์เรื่องนี้ในรายการแนะนำของคุณมาบ้าง เพราะใน “3%” ของผู้กำกับซีซาร์ ชาร์โลน บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกอนาคตสุดมืดหม่นของประเทศบราซิล ที่ผู้คนต่างแร้นแค้น และไม่มีแม้แต่โอกาสเข้าถึงปัจจัยอุปโภค-บริโภคพื้นฐาน บรรยากาศอึมครึมและกดดันมีอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เหล่าตัวละครอาศัยอยู่ใน Inland สิ่งที่พวกเขาพอทำได้ มีเพียงเข้าร่วมการแข่งขันสุดหฤโหด และพยายามเอาชนะเพื่อเป็นผู้เหลือรอดจำนวนหยิบมือที่จะได้ไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า
เทคโนโลยีที่เข้าควบคุมชีวิตใน แบล็ก มิร์เรอร์ (Black Mirror)
แม้จะไม่ได้ให้เราเห็นด้านมืดสุดขั้วของเทคโนโลยีอย่างเรื่องอัลเทอร์ด คาร์บอน แต่การตั้งคำถามที่เฉียบคม และการเล่าเรื่องราวของโลกอนาคต ที่คู่ขนานไปกับการเสียดสีพัฒนาการในสังคมปัจจุบันของแบล็ก มิร์เรอร์ (Black Mirror) ก็สามารถทำให้ใครหลายคนรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงไปกับภัยเงียบของเทคโนโลยีได้อย่างไม่ต้องสงสัย ในหลายๆ ตอน เราจะได้เห็นตัวละครอยู่ในสังคมที่เทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้นมาจากสิ่งที่มีอยู่ในโลกปัจจุบันของเรานี่เอง เพียงแต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง มันกลับกลายเป็นอะไรที่ทรงพลังจนคนในสังคมต้องตกเป็นเหยื่อในที่สุด
โลกสุดดาร์กในแบบดาร์ก (Dark)
ดาร์ก (Dark) ให้เราเห็นบรรยากาศในเมือง Winden ของเยอรมัน ที่มีความอึดอัด น่าหดหู่ สร้างอารมณ์และโทนเรื่องให้ดูดาร์กสมชื่อ โดยตั้งแต่เริ่มเรื่องเราจะเห็นความตึงเครียดของผู้คนที่ใช้ชีวิตใกล้บริเวณที่มีโรงงานนิวเคลียร์ ซึ่งผู้กำกับตั้งใจเสียดสีสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมปัจจุบัน ก่อนจะโยงเข้ากับการเดินทางข้ามเวลา (ระหว่างปี ค.ศ. 1953/1986/2019)เพื่อไขปริศนาการหายตัวไปของตัวละครสามตัว ซึ่งสุดท้าย การเดินทางระหว่างโลกอดีต-อนาคต กลับกลายเป็นส่วนผูกโยงกับความลับของเมืองๆ นี้ และกลับมาตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ
โลกต่างมิติในแบบ ริค แอนด์ มอร์ตี้ (Rick and Morty)
หากใครเป็นแฟนอนิเมชัน ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งกับการ์ตูนไซไฟ ริค แอนด์ มอร์ตี้ (Rick and Morty) ที่จิกกัดสังคมอเมริกันได้อย่างถึงพริกถึงขิงเรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง หรือ ริค แซนเชส จะพาทุกคนท่องไปในโลกอนาคต (หรืออาจจะเรียกว่าเป็นโลกต่างมิติก็ได้) ที่เต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาว และสัตว์ประหลาดหลากหลายรูปแบบ แต่ด้วยคลื่นสมองที่ฉลาดกว่าคนทั่วไป ทำให้ริคจำเป็นต้องพา มอร์ตี้ สมิธ เด็กชายที่ไม่ค่อยมีหัวคิดติดไปด้วย เพื่ออำพรางตัวเองจากการตกเป็นเป้าของมนุษย์ต่างดาว แน่นอนเรื่องราวอลหม่านอีกมากมายจึงตามมา
สงครามยึดครองดวงดาวใน สตาร์ เทรค: ดิสคัฟเวอรี (Star Trek: Discovery)
หลังหายจากหน้าจอทีวีไปเกือบทศวรรษ ซีรีส์ชุดใหม่ของจักวาลนอกโลกก็กลับมาอีกครั้ง สตาร์ เทรค: ดิสคัฟเวอรี (Star Trek: Discovery) เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2255 เราจะได้ตะลึงอีกครั้งกับบรรยากาศในจักรวาลที่นำทางโดยกัปตัน ฟิลิปปา จอร์จู ผู้ต้องการยึดครองดวงดาวต่างๆ เธอจึงออกเดินทาง พร้อมกับเบอร์เนม และไทเลอร์ เราจะได้เห็นบรรยากาศของดาวโครนอสที่มีความใกล้เคียงกับโลกอย่างมาก และร่วมลุ้นไปกับการพยายามขัดขวางแผนการของจอร์จู ที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวคลิงออนเป็นเดิมพันอีกด้วย
แล้วคุณล่ะ อยากจะเห็นอนาคตเป็นแบบไหน ร่วมสำรวจโลกอนาคตในจินตนาการได้แล้ววันนี้ทาง Netflix ไม่แน่ว่า อนาคตที่เราคิดว่ามันไกลแสนไกล อาจจะมาหาเราเร็วกว่าที่คิดก็ได้นะ
อัลบั้มภาพ 6 ภาพ