รีวิว Midnight Sun ญี่ปุ่นคิด ฝรั่งทำ
Midnight Sun เคยเป็นหนังญี่ปุ่นสมัยเมื่อนานมาแล้ว (ปี 2006) ที่น่าจะติดตาเราคงเป็นการแสดงหนังครั้งแรกของนักร้องสาวเสียงสวยอย่าง YUI แต่ที่น่าจะฝังในใจคือเรื่องราวการมีชีวิตของตัวละครอย่าง นางเอกผู้ป่วยเป็นโรคแพ้แสงแดดขั้นรุนแรง ซึ่งในฉบับญี่ปุ่นนั้นได้ถ่ายทอดความรักความฝันในเส้นทางดนตรีของนางเอกอย่างเด่นชัด แม้ร่างกายจะไม่อำนวย แต่เธอก็พร้อมจะจุดตัวเองเหมือนไม้ขีดไฟเพื่อส่องประกายเศษแสงของดวงอาทิตย์ขึ้นมา เป็นหนังที่ทำให้เห็นคุณค่าในการมีชีวิต ในการมีความฝัน และพยายามเพื่อไขว่คว้ามันมา
สำหรับคราวนี้ ฮอลลีวู้ดได้จับบทหนังของ บันโดะ เคนจิ ผู้มีผลงานเขียนหนังรักมากมายอย่าง I Give My First Love to You (2009) แและ Kids (2006) รวมถึง Midnight Sun ต้นฉบับ มาทำเป็นหนังรักโรแมนติกแบบนิยายรักวัยรุ่นฮอลลีวู้ดสไตล์ แบบของ นิโคลัส สปาร์กส์ (A Walk to Remember, 2002) หรืองานของ จอห์น กรีน (The Fault in Our Stars, 2014) ที่มีเอกลักษณ์งานเล่าเรื่องใกล้ ๆ กัน คือมีความหวานแหวว มีมุกตลก มีช่วงเวลาแห่งอุปสรรค และดราม่าแสนสะท้านใจ ซึ่งว่ากันตรง ๆ ก็ดีในแบบฮอลลีวู้ดทีเดียว แต่ถ้าติดใจงานแบบญี่ปุ่นก็คงต้องบอกว่าหนังถูกแปรรูปไปจนเสียจิตวิญญาณเดิมไปหมด คิดเสียว่าดูหนังฝรั่งไปเลยจะเพลินที่สุด
หนังได้ผู้กำกับที่ดังมาจากหนังรักเท้าไฟ Step Up Revolution (2012) อย่าง สก็อตต์ สเพียร์ มากำกับ โดยได้ดาราวัยรุ่นหน้าตาดีมาแสดงนำทั้งสาวหน้าสวย เบลล่า ธอร์น จาก The Babysitter (2017) และพระเอกยิ้มมีเสน่ห์ แพทริก ชวาร์เซเน็กเกอร์ ที่ส่วนใหญ่จะรับบทตัวประกอบในหนังตลกอบอุ่น จนได้มาเด่นฉายแสงในเรื่องนี้ ซึ่งในส่วนการแสดงถือว่าเข้าขาและดูเพลินทั้งหน้าตาเสียงร้อง และท่าทีการตกหลุมรักด้วย โดยเฉพาะเบลล่านั้นบทน่ารักเธอก็น่ารักสุด ๆ ไปเลย
ข้อเสียก็คงตามที่ได้กล่าวมาคือ หนังใช้พล็อตญี่ปุ่น แต่เติมจิตวิญญาณแบบหนังรักอเมริกันลงไป จนเรียกว่าเป็นหนังคนละเรื่องกันเลยก็ได้ ใครชอบแบบญี่ปุ่นมาก ๆ น่าจะไม่ค่อยชอบเรื่องนี้ ใครชอบหนังรักนิยายฝรั่งน่าจะโอเคกับตัวหนัง และสายหนังรักทั่วไปนี่เป็นอีกเรื่องที่ดูสนุกอบอุ่นซาบซึ้ง และทำให้เราอยากใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่ากับคนที่เรารักครับ
หนังเข้ารอบพิเศษ 2 ทุ่ม แล้วตั้งแต่วันนี้ไป และจะเข้าฉายจริงตามปกติในวันที่ 12 เมษายนนี้ครับ