สำรวจแนวคิดกว่าจะมาเป็นหนัง A QUIET PLACE ระวังสปอยล์!
เพื่ออรรถรสสูงสุด เราอยากให้คนที่ไปดู A QUIET PLACE มาแล้วค่อยตามมาอ่านบทความนี้เพื่อจะได้ทำความเข้าใจหนังมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงที่มาและเกร็ดหนังที่น่ารู้จนคุณอาจจะเซอร์ไพรส์ถึงแนวคิดและที่มาของหนังเรื่องนี้
นางเอกเป็นภรรยาตัวจริงของผู้กำกับ
เมื่อตอนที่ผู้กำกับของเรื่องอย่าง จอห์น คราซินสกี้ ได้อ่านโครงร่างแรกของบทภาพยนตร์เรื่อง A Quiet Place ซึ่งเขียนบทโดยคู่หู ไบรอัน วู้ดส์ และสก็อตต์ เบ็ค (Nightlight) เรื่องราวที่แสนน่ากลัวนี้โดนใจเขาอย่างแรงทีเดียว เอมิลี่ บลันท์ ภรรยาของ คราซินสกี้ เพิ่งจะคลอดลูกสาวคนที่ 2 ของพวกเขา และเขาก็จะใช้เวลาตอนกลางคืนอยู่แบบเงียบๆ พูดก็ต้องกระซิบ และวิตกกังวลตามประสาพ่อมือใหม่ ในบรรยากาศนั้น มันทำให้เขาอินไปกับไอเดียที่พูดถึงการพยายามค้นหาที่ปลอดภัยของครอบครัวหนึ่ง รวมไปถึงความต้องการที่จะผูกพันกัน ในโลกที่เสียงร้องแม้แต่แอะเดียว หรือการเดินด้วยฝีเท้าหนักๆ แค่ครั้งเดียว ก็สามารถนำความตายมาเยือนได้ทันที เรื่องนี้ดูเหมือนจะห้อมล้อมความหวาดกลัวของคนเป็นพ่อแม่เอาไว้อย่างที่สุด
ประสบการณ์ของความเป็นพ่อและแม่
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นหนังสัตว์ประหลาดไล่ล่ามนุษย์ แต่ความจริงแล้วพอยต์หลักของหนังเรื่องนี้คือการต่อสู้ระหว่างเสียงกับความเงียบ และระหว่างความกลัวและความรัก ซึ่งคงจะเป็นประสบการณ์ที่ตึงเครียดทางอารมณ์สำหรับคนดู จุดเริ่มต้นทั้งหมดของหนังเรื่องนี้มาจากการที่ผู้กำกับกำลังจะมีลูกคนแรก และเขาก็เกิดกลัวขึ้นมาว่าจะทำอย่างไรให้ลูกสาวปลอดภัย และเขาจะเป็นพ่อที่ดได้ยังไง จนกระทั่งบทภาพยนตร์มาถึงมือเขาซึ่งเป็นเวลาที่ประจวบเหมาะมากที่เขาจะจินตนาการถึง “ภาพ” ว่าพ่อแม่สองคนจะพยายามปกป้องลูกๆ ของพวกเขาด้วยการทำสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ นั่นก็คือการใช้ชีวิตอยู่โดยไม่ทำให้เกิดเสียงดังเลย
การเป็นพ่อแม่คนในช่วงเวลาโลกาวินาศเป็นไอเดียที่น่ากลัว แต่มันยังมาพร้อมกับแนวคิดที่ว่าในชีวิตปกติ คุณพยายามทำให้ลูกมีความสุข สุขภาพแข็งแรง มีอาหารสมบูรณ์ ได้รับการดูแลและได้รับการศึกษา ซึ่งในโลกทุกวันนี้มีเรื่องให้คนเป็นพ่อเป็นแม่มีความเป็นห่วงมากมาย แต่ความเครียดของคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นจะมากกว่าปกติ 10,000 เท่า แต่โลกนหนังนั้นแค่ก้าวผิดพลาดก้าวเดียว คุณอาจต้องเสียคนที่รักไป มันคือสิ่งที่ครอบครัวแอ็บบ็อตต์ต้องเผชิญ
วิธีการสร้างเสียงที่ปลอดภัยและเสียงที่ไม่ปลอดภัย
เมื่อหนังเรื่องนี้สร้างเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “เสียง” หนังจึงออกแบบ “เสียงที่ปลอดภัย” กับ “เสียงที่ไม่ปลอดภัย” ผู้กำกับอยากจะสร้างจุดแบ่งกั้นอยู่ตรงไหนที่คุณจะทำเสียงได้ และสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั้นจะไม่ได้ยินเสียงคุณ ผู้กำกับใช้เวลามากมายในการค้นคว้าเสียงทุกประเภทที่ครอบครัวๆ หนึ่งอาจทำให้เกิดขึ้นในฟาร์มที่โดดเดี่ยว จากนั้น เขาก็เริ่มคิดเกี่ยวกับทุกวิธีที่ครอบครัวนี้อาจจะคิดหาทางเพื่อทำให้เสียงเหล่านั้นเบาลง มันเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยจินตนาการ
เสียงดังปกติในชีวิตประจำวันที่พวกเราทำกัน จู่ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่มีความหมายใหม่สำหรับคราซินสกี้ “ผมเริ่มฟังทุกสิ่งทุกอย่างเลยครับ” คราซินสกี้สารภาพ “จากเสียงกระทบกันของเครื่องเงินกับจาน จนถึงเสียงตกของรองเท้าเมื่อคุณถอดมันออก มันกลายเป็นเกมในบ้านของเราซึ่งภรรยาของผม (เอมิลี่ บลันท์) และผมจะพยายามทำตัวให้เงียบ และเราจะหันไปหากันอย่างเงียบๆ ถ้าพวกเราทำเสียงดัง เราจะพูดว่า ‘คุณตายแล้ว’ มันกลับกลายเป็นวิธีการเตรียมตัวที่ดีมากครับ”
เพราะในหนังเรื่องนี้ตัวละครจะเหมือนมีโอกาสโดนคุกคามได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง 7 วันต่อสัปดาห์ พวกแอ็บบ็อตต์จึงต้องคิดหาวิธีที่จะทำให้เสียงเบาที่สุด อาทิเช่น การโรยทรายเอาไว้ตามทางเดินเพื่อให้เสียงฝีเท้าเงียบที่สุด การทาสีแผ่นพื้นกระดานเพื่อไม่ให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด และการทำระบบแสงเพื่อสื่อสารขึ้นมาเป็นพิเศษ “ความสนุกของงานเขียนบทก็คือการดูว่าเราจะนำเอาไอเดียที่จะต้องอยู่อย่างเงียบๆ นี้ไปใช้ได้มากแค่ไหน ตั้งแต่การให้พวกแอ็บบ็อตต์สื่อสารกันด้วยแสงที่มีสีสันแตกต่างกัน จนถึงการโปรยทราย เพื่อให้พวกเขาเดินได้เงียบมากขึ้น” คราซินสกี้อธิบาย
การออกแบบตัวละครที่พูดไม่ได้
นอกจากจะเป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเสียงแล้ว หนังยังมีตัวละครอย่างเรแกน(มิลลิเซนต์ ซิมมอนด์ส) ลูกสาวของพวกแอ็บบ็อตต์ หูหนวก พวกเขาจึงรู้วิธีใช้ภาษามือแบบอเมริกัน (ASL) ไอเดียที่เรแกนสูญเสียเครื่องช่วยฟังไป ซึ่งเป็นตัวเชื่อมระหว่างเธอกับโลกที่มีเสียง อีกทั้งตัวละครนี้ยังเป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยความอึดอัดในตัวเองเพราะเธอมีสถานะหูหนวกและเป็นใบ้ เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองจะปรับตัวยังไงหรือเธอจะทำอะไรได้ หรือเธอจะช่วยครอบครัวของเธออย่างไร
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกสาวระหว่างลีกับเรแกน โดยเฉพาะความต้องการของเรแกนที่โหยหาความรักจากพ่อ ท่ามกลางเหตุโศกนาฏกรรมนี้ ซึ่งทำให้พ่อต้องปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง เรแกนกับพ่อของเธอมีหลายอย่างคล้ายๆ กันอยู่มากเนื่องจากพวกเขาชื่นชอบเทคโนโลยี และคิดหาทางทำให้สิ่งต่างๆ ทำงานได้ แต่ความห่างเหินได้เข้ามาแทรกระหว่างพวกเขา เพราะเหตุร้ายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เรแกนอยากได้ยินว่าพ่อยังรักเธออยู่ ว่าพ่อรักเธอในแบบที่เธอเป็น นั่นคือธีมสำคัญในหนังเรื่องนี้
ดังนั้นใครที่มีโอกาสชมภาพยนตร์แล้วน่าจะสัมผัสได้ถึงความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีต่อลูกๆได้ไม่น้อยเลยทีเดียว