Rampage ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ทำไมสนุก?
ผมไปดูหนังเรื่อง Rampage ของผู้กำกับ แบรด เพย์ตัน ดูจบแล้วกลับถึงบ้านก็ยังสงสัยอยู่นะครับว่า ทำไมหนังมันสนุกได้ขนาดนั้น ทั้งที่เรื่องหรือหน้าหนังนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจเลย (ในความคิดของผมคนเดียวนะครับ) ก็เป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ เป็นหนังที่ฝรั่งเขาเรียกว่า ‘Popcorn movie’ หรือหนังที่ดูเอามันเข้าว่า เน้นสนุกบันเทิงอย่างเดียว (เลยเปรียบเปรยว่าดูไปกินข้าวโพดคั่วไปเพื่อความเพลิดเพลิน) ทั่วๆ ไปเรื่องหนึ่ง โอเค จะเปรียบอย่างนั้นก็ไม่แฟร์ไปหน่อย เพราะที่จริงมันก็มีความน่าสนใจอยู่ครับ เพราะว่ามันได้แรงบันดาลใจมาจาก เกมอาเคด หรือเกมตู้คลาสสิคชื่อเดียวกันนี่แหละในปี 1986 ซึ่งคนรุ่น 35-40 ปีขึ้นไปก็อาจจะอยากไปดูว่า ไอ้หนังที่สร้างมาจากเกมตู้ ลิงยักษ์ หมาป่ายักษ์ กิ้งก่ายักษ์ เดินหน้าถล่มเมืองแบบที่เราหยอดเหรียญเล่นกันตอนเด็กๆ นั้นมันจะออกมาเป็นอย่างไร
Rampage
เกมอาเคด
แต่พูดก็พูดเถอะ มันก็ยังถือว่างั้นๆ ไม่น่าสนใจเท่าไหร่ เพราะไอ้เกมที่ว่ามันก็ไม่ได้มีเส้นเรื่องไม่มีสตอรี่อะไรแต่แรกอยู่แล้ว ก็มีนิดหน่อยตรงที่ ตอนแรกผู้เล่นเป็นคนก่อนแล้วก็กลายร่างเป็นสัตว์ยักษ์แล้วก็ทำลายล้างวินาศสันตะโรเน้นสะใจเด็กกันไป แถมการได้ ดเวย์น จอห์นสัน หรือ ‘เดอะ ร็อค’ มาเป็นนักแสดงหลักนี่ก็ดูเหมือนจะดี แต่เอาเข้าจริงผลงานหลังๆ ของแกก็มีแกว่งๆ บ้างเหมือนกัน ยังจำ Jumanji ภาครีเมกใหม่เมื่อปลายปีที่แล้วได้ไหมครับ ก็เงียบเชียบกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว และเหตุผลข้อสุดท้ายก็คือ ผมว่าผู้ชมก็น่าจะเริ่มเบื่อ หนังสัตว์ยักษ์หรือหุ่นยักษ์เหยียบตึกกันไปพอสมควรแล้ว เห็นได้จากความเงียบสงัดของ Pacific Rim ภาค 2 ที่ไม่เปรี้ยงปร้างเท่าที่ควร
ดเวย์น จอห์นสัน หรือ เดอะ ร็อค
ทั้งหมดนั้นทำให้ผมมองไม่ออกเลยว่า Rampage มันจะสนุกหรือว่าน่าดูได้ตรงไหนอย่างไร แต่โลกมันก็อย่างนี้แหละครับ ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่คิดไว้เสมอไป เพราะหลังจากไปดูแบบไม่คิดอะไรมาก ผมก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมมันสนุก (จังวะ)
ผมว่าต้องยกเครดิตให้ แบรด เพย์ตัน ผู้กำกับและทีมเขียนบทภาพยนตร์เลยครับ (มี 4 คนได้แก่ ไรอัน เอนเกิล, คาร์ลตัน คูส, ไรอัน เจ คอนดาล และ อดัม เซสคีล) ที่ช่วยกันสร้างเรื่องให้สนุกและน่าติดตาม ลุ้นและตื่นเต้น ตลอดชั่วโมงกว่าๆ ได้ ผมคิดว่างานเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้นี่มันยากมากๆ เลยนะครับ เพราะคุณต้องโน้มน้าวคนดูให้เชื่อให้ได้ว่ามันมีลิงเผือกยักษ์, กิ้งก่า หมาป่ายักษ์มาถล่มเมืองอยู่จริงๆ คุณต้องอธิบายเรื่องที่โคตรจะไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ให้คนดูรู้สึก make sense ซึ่งไอ้การ convince คนดูหนังมันไม่เหมือนในเกมนะครับ เพราะว่าคนเล่นเกมนั้นแทบไม่ต้องการการเกลี้ยกล่อมใดๆ ให้เชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่แล้ว แต่คนดูหนังต้องการ ไม่อย่างนั้นหนังอย่าง Man of Steel (หรือซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นซีเรียสไม่นุ่งกางเกงใน) จะเสียเวลายืดยาวเพื่ออธิบายว่าทำไมชายสวมผ้าคลุมแดงถึงเหาะได้ไปเพื่ออะไรถ้าไม่ใช่ เพราะเขาอยากให้คนดูเชื่อนั่นไงครับ
แบรด เพย์ตัน ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Rampage
ผมไปอ่านบทสัมภาษณ์ของ แบรด เพย์ตัน ที่ให้สัมภาษณ์กับ The Hollywood Reporter มาครับ เขาบอกว่าตอนเป็นเด็กๆ เขาดู Predator หนังในปี 1987 ของ จอห์น แมคเทียร์แนน มากกว่า 365 รอบ ช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เขาบอกอย่างนั้นจริงๆ ครับ คิดง่ายๆ ว่า ดูทุกวัน วันละรอบก็ต้องดูหนึ่งปีพอดี แต่ แบรด ดูมากกว่านั้นในระยะเวลาที่สั้นกว่านั้น แบรด บอกว่ายืมวิดีโอหนังเรื่องนี้มาจากเพื่อนแล้วก็ดูวนมันไปเรื่อยๆ นี่ก็ไม่รู้ว่าเขาได้คืนวิดีโอเพื่อนหรือเปล่า (ถ้ามันยังอยู่ในสภาพที่คืนให้กันได้นะครับ)
แต่ความบ้าคลั่งใน Predator และหนังไซ-ไฟ แอคชั่นในยุคนั้นเองที่ทำให้เขาได้ฝึก การ ‘กำกับ’ เป็นครั้งแรกด้วยการไปซื้อปืนของเล่น แล้วออกไปเล่นกับเพื่อน ให้เพื่อนรับบทเป็นคนนั้น เป็นสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วเขาก็สั่งให้คนนั้นทำแบบนั้น คนนี้ทำแบบนี้ สุดท้ายสิ่งที่ทำด้วยความสนุกแบบเด็กๆ นั้นมันก็กลายมาเป็นทักษะและเป็นความรักในศาสตร์ภาพยนตร์ในเวลาต่อมา (แบรด เพย์ตัน จบการศึกษาจาก Canadian Film Centre)
Predator (1987)
และนั่นทำให้ แบรด เพย์ตัน จัดการทุกอย่างใน Rampage ได้ลงตัวหมดเลย ตั้งแต่การปูเรื่องที่ยังไงก็ต้องพึ่งต้นทางจากเกมไปจนถึงการให้เหตุให้ผลในหนังอย่างที่บอก ไปจนถึงการคุมจังหวะหนังให้กระชับ เดินหน้าไปด้วยอัตราเร่งในแบบที่ลุ้นระทึก และไม่มีซีนไหนกระโดดหรือข้ามซีนหลุดซีนอย่างที่เราเห็นบ่อยๆ ในหนังทำนองนี้เลย
ดังนั้นสิ่งที่ผมทึ่งใน Rampage นั้นจึงไม่ได้เกิดจากความบังเอิญหรือโชคช่วย ทั้งหมดเกิดจากความรักในงานของตัวเอง หลงใหลในสิ่งที่ตัวเองทำนั่นเองครับ
มีคนบอกว่าถ้าคุณทำอะไรซ้ำๆ ได้ครบหนึ่งหมื่นชั่วโมง (หรือประมาณนั้น) คุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นมาสเตอร์ในสิ่งนั้นๆ ที่จริงผมก็เชื่ออยู่เหมือนกันนะครับ แต่ก็ยังไม่มีตัวอย่างอะไรที่พอเป็นรูปธรรมได้ชัดเจน
ดเวย์น จอห์นสัน และ แบรด เพย์ตัน
ผมก็เลยอนุมานเอาว่า แม้จะถึงหนึ่งหมื่นชั่วโมงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าคุณดูหนัง Predator ได้มากกว่า 365 รอบอย่างที่ แบรด เพย์ตัน ทำได้ล่ะก็ คุณก็อาจจะเข้าใจได้ว่าทำไม Rampage มันถึงเป็นหนังที่สนุกแบบไม่มีเหตุผลได้ขนาดนั้น
ซึ่งจริงๆ มันก็มีเหตุและผลอยู่ในตัวมันเองแล้วนั่นแหละครับ